ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
หากคุ้นเคยกับผลงานคอมเมดี้จากค่าย GDH559 ทั้ง เนื้อคู่ประตูถัดไป, เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร, น้ำตากามเทพ, ไดอารี่ ตุ๊ดซี่ส์ ซีซั่น 1-2 ก็คงจะคุ้นเคยกับชื่อของไตเติ้ล-กิตติภัค ทองอ่วม ผู้กำกับการแสดง และคนเขียนบทโทรทัศน์คนเก่ง
และเมื่อมติชนสุดสัปดาห์ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาแล้วจึงทำให้ได้รู้ว่า งานคอมเมดี้สร้างเสียงหัวเราะที่เราๆ เสพกันอย่างง่ายดายนั้น เบื้องหลังแห่งการสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ต้องใช้ทักษะประมาณหนึ่ง เพราะคนผลิตต้องมีเชื้ออะไรบางอย่างที่จะไปทางตลก จังหวะเป็นเรื่องสำคัญ แค่หันมาผิดจังหวะก็ไม่ขำแล้ว”
ซึ่งในการกำกับการแสดงที่นักแสดงมี “ของ” ให้ไม่เท่ากัน
เติ้ลจึงจัดสรรว่า ในเมื่อปิงปอง ธงชัย ที่มีพรสวรรค์ในทางคอมเมดี้มากจึงไม่โดนเคี่ยวหนัก
ในขณะที่เผ่าเพชร เจริญสุข ผู้มีทางดราม่ามากกว่าคอเมดี้ เขาจึงต้องหาทางให้นักแสดงและการแสดงมาเจอกันตรงกลางอย่างลงตัว
แต่หากถามถึงความคอมเมดี้ของเติ้ล กิตติภัคนั้น ผู้อ่านไม่ต้องห่วง เพราะผู้สร้างคอมเมดี้ต้องเป็นคนตลกอยู่แล้ว
“ต้องเป็นคนตลก หัวเราะเมื่อคนอื่นเล่นมุข”
เพราะตัวเขาที่ทั้งต้องกำกับฯ และเขียนบทโทรทัศน์ หากไม่มีของอยู่กับตัวนั้น การผลิตผลงานจะเป็นไปด้วยความลำบาก
“ถ้าเราไม่รู้เลยว่า มันตลกหรือไม่ตลก มันยากนะถ้าทำงานคอมเมดี้”
เนื่องจากการทำงานคอมเมดี้เป็นงานที่ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบ และเล่นกับลักษณะอารมณ์ผู้ชมค่อนข้างเยอะ
“รสนิยมความตลกของคนมันเป็นปัจเจกมาก”
บางเรื่องเขาไม่ตลกเลย แต่ขณะเดียวกัน บางเรื่องก็สร้างเสียงหัวเราะให้คนส่วนมากอย่างคาดไม่ถึง
“หนังคอมเมดี้มันทำอย่างไรให้คนตลกมากที่สุด”
เพราะฉะนั้น บางมุขต้องขยี้ บางมุขก็ต้องตัดทิ้ง
“ซึ่งถ้าชีวิตดราม่าไปวันๆ ไม่ได้ยิ้ม ไมได้ตลกกับเขาเลย คงทำคอมเมดี้ไม่ได้ ก็อาจมี แต่คงจะเหนื่อยมากเลย”
แต่ตลอดเวลาหลายปีที่เขาเดินทางสายกำกับการแสดงนั้น ใครเลยจะรู้ว่า หน้าที่ผู้กำกับการแสดงคือสิ่งที่เขาไม่เคยอยากทำ
“ตอนเราเขียนบท เราเห็นผู้กำกับการแสดงทำงาน เราคิดว่าไม่อยากเป็นเลย” 555
แต่วันหนึ่งที่ผู้ใหญ่ในค่ายชักชวนให้ขึ้นแท่นกำกับการแสดงซีรี่ส์ ไดอารี่ ตุ๊ดซี่ส์ เขาก็ไม่ปฏิเสธ
“มันไม่ได้มาง่ายๆ ไง อยู่ๆ เขาจะมาเห็นเราเดินผ่านแล้วชวนมันไม่ใช่” นั่นเพราะคนชักชวนเป็นถึงผู้สร้างผลงาน ที่ตนเคยประทับใจมาแล้ว “ถ้าโอกาสมันมาแบบนี้ ถ้าไม่ทำ มันคงคาใจ”
“ตอนซีรี่ส์คิดหนัก แต่เป็นภาพยนตร์ก็เอาว่ะ ลองอีกทีแล้วกัน ชีวิตนี้ได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์นะ”
ทั้งนี้ เติ้ลยอมรับว่าในวันที่กระโจนมารับบทบาทใหม่ จิตใจเขาเองก็ยังไม่พร้อม 100% แต่ที่ตัดสินใจไปเพราะคำว่าโอกาส
“โอกาสไม่ได้มาหาคุณง่ายๆ คนบางคนอยากได้โอกาสแทบตายแล้วเขาไม่ได้เลยนะ”
เพราะฉะนั้น เมื่อได้โอกาสแล้ว จงทำให้ดีที่สุด
“ส่วนตัวเราเสียดายแทนคนที่ได้โอกาสแล้วทำไม่ดี คุณเลือกที่จะทำลายมันลง ด้วยตัวเอง”
เพราะฉะนั้น เมื่อได้สิทธิ์ลองทำ สิทธิ์ในงานใช้เงินของบริษัทมาบริหารนั้น
“ก็อยากทำให้ดี”
มาจนถึงวันนี้ เขารักและฟินงานกำกับการแสดงมาก
“อย่างตอนเราเขียนบทเราจะฟินมาก เมื่อเห็นนักแสดงแสดงบทตามภาพในหัวที่เราคิด พอมันเป็นภาพยนตร์ก็คิดว่าเราจะฟินมาก ตอนที่นั่งหน้ามอนิเตอร์แล้วเห็นนักแสดงทำได้แบบภาพในหัวที่เราคิดไว้”
“เราหัวเราะไปกับสิ่งที่เขาเล่นแล้วคนอยู่รอบข้างทีมงานหัวเราะ เป็นโมเมนต์ที่มหัศจรรย์”
สำหรับเขาที่ผู้ชมชมแล้วคุยถึงผลงานเขาด้วยความสนุก หรือมีความสุขไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้
“แค่นี้ก็นิพพานแล้วนะ ในสายอาชีพของตัวเอง”
วันวานที่เคยวิ่งตามโอกาส คาดหวังกับทุกอย่างจนกดดันตัวเอง มาวันนี้ เติ้ล กิตติภัค บอกกับมติชนสุดสัปดาห์ว่า เขาไม่คาดหวังกับชีวิตอีกแล้ว
“ไม่มีแพลนอะไรในชีวิตเลย แต่ว่าเมื่อโอกาสเข้าจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีของชีวิต มันทำให้เรามีความสุข”
“และมีรายได้ 5555”
หลังจากนั้นเขาขอปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต
“วันนี้ที่มานั่งตรงนี้ มีคนมาสัมภาษณ์ มันก็ไกลมากเกินไปแล้วจากชีวิตที่เริ่มต้น”
เริ่มจากนักศึกษาเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยยังไม่มีงานทำ จนมาทำงานแคสติ้ง เขียนบทโทรทัศน์ พิธีกร จนผู้กำกับการแสดง
จากนี้ทุกอย่างล้วนแต่ให้โชคชะตาพาไป “แบบว่าคลื่นจะมา เราก็เล่นไปตามคลื่นไม่รู้จะพาไปไหน”
“ระหว่างนั้นก็ทำให้มันสนุกที่สุดเท่านั้นเอง”