รายงานพิเศษ / เปิดหน้ากรำศึก 3 ทหารเสือฯ 3 บูรพาพยัคฆ์ 3 ป. กลางดงนักการเมือง ‘ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์’ ท็อปบู๊ต ปราบพยศ กับปฏิบัติการพิเศษ ของบื๊กแดง ‘ขุนพลแก้ว’

รายงานพิเศษ

 

เปิดหน้ากรำศึก 3 ทหารเสือฯ 3 บูรพาพยัคฆ์

3 ป. กลางดงนักการเมือง

‘ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์’

ท็อปบู๊ต ปราบพยศ

กับปฏิบัติการพิเศษ

ของบื๊กแดง ‘ขุนพลแก้ว’

 

สถานการณ์ทางการเมือง สถานการณ์อำนาจในเวลานี้สะท้อนชัดว่า “3 ป.” 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ยังคงอยู่

แม้ คสช.จะสิ้นสลายไปแล้วพร้อมรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ที่เข้าถวายสัตย์เมื่อ 16 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาก็ตาม

แต่พลังอำนาจและบารมีของพี่น้อง 3 ป.ยังคงอยู่

3 ป.พี่น้อง ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาล คสช. ก็ยังคงอยู่กันครบพร้อมหน้าพร้อมตา

การพบปะกินข้าวของพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อคืน 3 ธันวาคม 2562 ที่มีพี่น้อง 3 ป. ทั้งบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรากฏตัว เปิดตัวเปิดหน้าในทางการเมืองอย่างชัดเจน

ภาพของ คสช. จึงยังคงปรากฏทับทาบรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์เพราะยังมีพี่น้อง 3 ป.นั่งอยู่ในรัฐบาล และยังเป็นคีย์แมนสำคัญเป็นเสาหลักของรัฐบาล

หลังจากการเป็นเสาหลักในการนำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และเป็นรัฐบาล คสช.มากว่า 5 ปีต่อเนื่องด้วยการตั้งพรรคพลังประชารัฐสู้ศึกเลือกตั้ง จนกลับมาคุมอำนาจรัฐในวันนี้

จึงทำให้ คสช.ยังคงอยู่ ไม่ได้สิ้นสลายไป แต่แค่แปลงร่างมาอยู่ในรัฐบาลจากการเลือกตั้ง อันสะท้อนถึงการลงสู่สนามการเมืองของพี่น้อง 3 ป.อย่างเต็มรูปแบบ แบบเปิดเผย และเปิดหน้า ไม่ต้องไปหลบอยู่เบื้องหลังเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป

โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่สละเก้าอี้ รมว.กลาโหม แล้วเป็นแค่รองนายกฯ อย่างเดียว เพื่อที่จะมีเวลาไปดูแลพรรคพลังประชารัฐในนามประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ มาร่วมวงกินข้าวพบปะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เป็นการสะท้อนการเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวและถาวร เพราะพรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจอีกต่อไป

ความระหองระแหงคลางแคลงใจในพรรคร่วมรัฐบาลที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความขัดแย้งแบ่งขั้วภายในพรรค ส่งผลให้ 6 ส.ส.โหวตสวนมติพรรคร่วมรัฐบาล

ที่สำคัญ เป็นกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ที่พุ่งตรงไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ อดีตหัวหน้า คสช. แบบเต็มๆ

ไม่ว่าคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ และนานแค่ไหน

ไม่ว่ามนต์กอดของ พล.อ.ประยุทธ์จะขลังหรือไม่

หลังการกินข้าวพบปะของพรรคร่วมรัฐบาลแล้วก็ตาม

แต่ต่อจากนี้ไป พล.อ.ประยุทธ์จะลงมาบริหารจัดการในการเมืองด้วยตนเองมากขึ้น จากเดิมที่ให้ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ออกหน้ามาตลอด

“บางครั้งผมอาจจะพูดและพบกับเขาน้อยไปหน่อย ทำให้ไม่รู้ว่าตัวตนนายกฯ เป็นอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

 

ทั้งนี้เพราะในบางครั้งนักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ค่อยเกรงใจ พล.อ.ประวิตรเท่าใดนัก เพราะรู้ว่าอำนาจการตัดสินใจสูงสุดอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์

จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเปิดหน้า และพูดเองเจรจาเอง

โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังถูกมองว่าเล่นเกมการเมืองเพื่อหวังผลการเลือกตั้งในอนาคต

ถึงขั้นที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องสวมวิญญาณทหารเก่า ออกมาสะกิดต่อมสุภาพบุรุษนักการเมืองด้วยกัน ทวงสัญญาลูกผู้ชายของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลว่า จะต้องเป็นพรรคร่วมจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อการเลือกตั้ง เพราะยังไม่ถึงเวลาของการเลือกตั้ง

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จะพุ่งเป้าไปที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการกอด

หลังจากที่ได้เปิดอกความในใจกันไปแล้ว

ทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ที่ย้อนอดีตตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ตนเองเป็น ผบ.ทบ. ก็ช่วยดูแลบ้านเมือง ทำไมมาตอนนี้พวกผมชวนมาเป็นรัฐบาล แต่ทำไมทำแบบนี้

ในเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ รอง ผบ.ทบ. และ พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ. ก็ช่วยสู้ศึกเสื้อแดง จนต้องเอากำลังทหารออกมากระชับพื้นที่ ปกป้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้ว

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ “เมื่อเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันแล้ว ไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดจะทำอะไรก็ทำ ถ้าผมอยู่ไม่ได้ พวกคุณก็อยู่ไม่ได้”

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้คิดเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี แต่หากทำงานไม่ดี หรือทำไม่ได้ ก็อาจจะยุบสภาเลย

ที่อาจเรียกว่าเป็นการขู่พรรคร่วมรัฐบาลให้อยู่ในแถวในแนว โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะเชื่อว่าตอนนี้ไม่มีใครพร้อมที่จะเลือกตั้ง หาก พล.อ.ประยุทธ์ประกาศยุบสภา

นี่จึงเป็นการบริหารรัฐบาลและพรรคการเมืองแบบทหารทหาร แบบทหารเสือราชินี แบบทหารบูรพาพยัคฆ์ และทหารเก่าสามพี่น้อง ที่ถือว่าอำนาจแกร่งที่สุดในทศวรรษนี้แล้ว

จึงไม่แปลกที่สามพี่น้อง 3 ป. ยิ่งต้องกำลังแน่นเพื่อเป็นเสาหลักของรัฐบาลในการคุมนักการเมืองคงพรรคร่วมรัฐบาล

 

“3 ป. ไม่มี 3 ป.เราจะทำอะไรได้ 2 คนนี้คือลูกพี่ฉัน สอนฉันให้เป็นคนดี สอนฉันให้ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง ถ้าไม่มีพี่ทั้ง 2 คน พี่ป๊อกและพี่ป้อม ฉันก็มีวันนี้ไม่ได้ ทุกอย่างไม่มีเพื่อตัวฉัน แต่เพื่อประเทศไทย เข้าใจหรือยัง และขอทุกพรรคเดินหน้าเพื่อประเทศไทย” พล.อ.ประยุทธ์จึงกล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน หลังดินเนอร์เคลียร์ใจ

แต่ทว่าในวงนั้นก็ไม่มีนายจุรินทร์ที่ได้กลับไปก่อนหลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงทันที ทั้งๆ ที่นายจุรินทร์มาร่วมงานช้าสุด เพราะติดภารกิจ

เมื่อเปิดใจคุยกันขนาดนี้แล้ว พล.อ.ประวิตรจึงมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์โหวตสวนมติพรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นอีก

“ถ้ามีขึ้นอีก ผมจะมายืนอยู่ตรงนี้หรือ” พล.อ.ประวิตรเปรย พร้อมยืนยันในความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของพรรคร่วมรัฐบาล

 

กล่าวได้ว่ารัฐบาลประยุทธ์นี้ยังใช้สไตล์การบริหารจัดการแบบทหารที่ต้องมีการปราบพยศ พูดแบบลูกผู้ชาย และใช้ความน่ายำเกรงของความเป็นทหารใหญ่ ให้นักการเมืองเกรง

แต่ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้มีแค่พี่น้อง 3 ป.ที่เป็นเสาหลักเท่านั้น แต่ยังมีกองทัพที่เป็นแบ๊กอัพอย่างเหนียวแน่นและมั่นคง

ภายใต้การนำของบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. น้องรักสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เปรียบเสมือน “ขุนพลแก้ว”

ที่แม้จะเหลือเวลาบนเก้าอี้ ผบ.ทบ.อีกแค่ 10 เดือนก่อนเกษียณราชการ แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ได้มีการวางตัวแม่ทัพนายกองที่จะขึ้นมาดูแลกองทัพและเป็นกองหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ไปจนครบเทอม

ทั้งบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ที่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่และมีอายุราชการนานถึงตุลาคม 2566

บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในปีหน้า และเกษียณราชการตุลาคม 2566

โดยมีบิ๊กต่อ พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ แม่ทัพน้อยที่ 1 น้องรักสายทหารเสือราชินีของ พล.อ.ประยุทธ์ จ่อขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่และเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.คนต่อไป รวมทั้งบิ๊กอ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ก็เข้าไลน์เตรียมเติบโตต่อคิวแต่กองทัพบก

โดยทั้งหมดก็เป็นนายทหารคอแดงที่อยู่ในระดับบริหารของ ฉก.ทม.รอ.904

 

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังร้อนและอาจมีความไม่แน่นอน

พล.อ.อภิรัชต์ยังคงถูกจับตามองเขม็ง หลังความเคลื่อนไหวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เล็งทุบหม้อข้าวทหาร

ทั้งการชำแหละงบประมาณกลาโหม ต่อหน้าปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.เหล่าทัพ รวมทั้ง พล.อ.อภิรัชต์ ในกรรมาธิการงบประมาณ ด้วยการถามตรงเรื่อง “เงินนอกงบประมาณ”

ก่อนที่จะลาออกจากกรรมาธิการงบประมาณ เพื่อมาเล่นการเมืองนอกสภาอย่างเต็มตัว

พร้อมทิ้งปริศนาไว้ว่า “เขา” คนนั้น ที่ไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่อยู่ นั้นคือใคร

งานนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.อภิรัชต์ และนายธนาธร ได้เจอหน้ากัน

หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ขึ้นเวทีบรรยายพิเศษเรื่อง “แผ่นดินของเราฯ” ส่งสัญญาณถึงนายธนาธรและพลพรรค รวมทั้งการขึ้นภาพเงานายธนาธรบนเวทีด้วย แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อก็ตาม

รัฐสภากลายเป็นสถานที่ที่ทำให้ทั้งสองคนได้มาเผชิญหน้ากัน แม้จะไม่โดยตรง แต่ก็นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน และหายใจเอาอากาศมวลก้อนเดียวกัน

เพราะปกติแล้ว พล.อ.อภิรัชต์กับนายธนาธรก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้มาเจอกัน

ยกเว้นไปงานวันชาติสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุด ที่สถานทูตจัด แต่ก็ไม่ได้เฉียดกัน

ท่ามกลางการจับตามองของผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายทหาร และ ส.ส.ในกรรมาธิการ ว่าจะมีการปะทะวาจา หรือคารมกันหรือไม่ในการชี้แจงงบประมาณกองทัพ

หรือเมื่อชี้แจงจบแล้วจะมีการเดินเข้ามาพูดคุยกันหรือไม่

แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น…

 

แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ได้ตอบคำถามนายธนาธรในเรื่องเงินนอกงบประมาณพอหอมปากหอมคอ

แต่เกมของนายธนาธรมีอย่างต่อเนื่องหลังลาออกจากกรรมาธิการงบประมาณก็ชำแหละงบประมาณกองทัพอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะเงินนอกงบประมาณของกองทัพ ที่ไม่ต้องส่งเข้าคลัง และเล็งเป้าไปที่ค่าเช่าวิทยุ-โทรทัศน์ โดยเฉพาะใน ททบ.5 สนามมวย สนามม้า สนามกอล์ฟ ที่เรียกได้ว่าเป็นหม้อข้าวทหาร

รวมถึงการเดินหน้าปลุกกระแสยกเลิกการเกณฑ์ทหารอย่างต่อเนื่อง

แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ยังคงอยู่นิ่ง ไม่ได้ออกมาตอบโต้ หรือให้สัมภาษณ์ใดๆ

ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.อ.อภิรัชต์จะอดทนไปได้ถึงเมื่อใด

เพราะรู้กันดีว่าเป็นนายทหารที่มีจุดเดือดต่ำ และมีความอดทนต่อนักการเมืองไม่มากนัก

แต่ด้วยบทบาทหน้าที่ของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ไม่ใช่เป็นแค่ ผบ.ทบ. แต่ยังเป็นผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) ด้วย

จึงไม่อาจพูดอะไร ทำอะไรได้ตามใจปรารถนา และต้องมีความอดทนให้มากขึ้น

 

กล่าวกันว่า ความเคลื่อนไหวหรือการออกมาให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ในแต่ละครั้งที่ผ่านมา

โดยเฉพาะการบรรยายพิเศษ ประวัติศาสตร์ เมื่อ 11 ตุลาคม 2562 นั้น เรียกได้ว่ามีนัยยะสำคัญ

และเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญจาก พล.อ.อภิรัชต์

ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่มา ที่ไป และเป้าประสงค์ที่ขึ้นเวทีฉะพวกซ้ายจัดดัดจริต คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง และพวกคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม หัวฝังชิพ

เมื่อปฏิบัติการครั้งนั้นแล้ว พล.อ.อภิรัชต์ก็เก็บตัวอยู่ในถ้ำ ทบ.และปฏิบัติภารกิจที่รับผิดชอบตามปกติ

โดยเฉพาะภารกิจที่เรียกว่า ว.5 ในการดูแลสถานการณ์บ้านเมืองและความมั่นคงตลอดเวลา

แต่ยังคงงดที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน

เพราะการออกมาของ พล.อ.อภิรัชต์ อาจหมายถึงการส่งสัญญาณบางอย่างไปพร้อมๆ กันด้วย

แม้คนใกล้ชิดจะรู้ดีว่าในหัวใจของ พล.อ.อภิรัชต์นั้นร้อนระอุเพียงใดก็ตาม

 

หากนายธนาธรรุกหนักทุบหม้อข้าวกองทัพแบบไม่แตะเบรกเช่นนี้ กองทัพก็ต้องมีปฏิกิริยา

เพราะอย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็น รมว.กลาโหม

แต่ในเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ทำหน้าที่ในการชี้แจงตอบโต้แทน ผบ.เหล่าทัพไปก่อน

และสั่งการให้กระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพใช้สื่อที่กองทัพมีอยู่ทั้งหมดในการทำความเข้าใจกับประชาชน และโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เพื่อชี้แจงสิ่งที่นายธนาธรได้พูดไว้

“เขาต้องการให้ประชาชนเข้าใจผิดกองทัพ” บิ๊กป้อมกล่าวความเคลื่อนไหวของนายธนาธร

ด้วยเพราะรู้ดีว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ที่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะออกมาอีกครั้ง

ท่ามกลางการจับตามองถึงความเคลื่อนไหวของ พล.อ.อภิรัชต์ที่จะเรียกประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ถึงระดับกองพัน วันที่ 20 ธันวาคมนี้

รวมถึงการรวมตัวของผู้นำกองทัพในการประชุมคณะผู้บัญชาการทหาร และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ในวันคริสต์มาส 25 ธันวาคมนี้เป็นครั้งส่งท้ายปีเก่า ที่ บก.ทบ.

แม้จะยังไม่มีปฏิบัติการแบบเปิดหน้า แต่ทุกอย่างอยู่ในสายตาของ พล.อ.อภิรัชต์ทั้งสิ้น

            เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พล.อ.อภิรัชต์จะออกมาอีกครั้ง