คุยกับทูต ‘อันดรีย์ เบชตา’ ไข่มุกสีเขียวแห่งยูเครน

เพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขและวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

วันนี้ลองมาทำความรู้จักประเทศยูเครนกันให้มากขึ้นทางด้านการท่องเที่ยว จากเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐยูเครนประจำประเทศไทย นายอันดรีย์ เบชตา (H.E. Mr. Andrii Beshta)

“ยูเครนนับเป็นประเทศใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป (603,628 ตารางกิโลเมตร) มีอาณาเขตทางตะวันออกติดต่อกับประเทศรัสเซีย ทางเหนือติดต่อกับเบลารุส ทางตะวันตกติดต่อกับโปแลนด์ สโลวาเกีย และฮังการี ทางตะวันตกเฉียงใต้ติดต่อกับโรมาเนียและมอลโดวา ทางใต้และตะวันออกเฉียงใต้จรดทะเลดำและทะเลอะซอฟตามลำดับ”

“ยูเครนมีพื้นที่ 603,628 ตารางกิโลเมตร มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชีวภาพ เป็นแหล่งท่องเที่ยวล่าสุดของยุโรปซึ่งเต็มไปด้วยประเพณีที่มีสีสัน มีประชากรเกือบ 45 ล้านคน”

“กล่าวได้ว่า ผู้ไปเยือนยูเครนจะได้รับประสบการณ์ที่น่าสนใจที่ไม่ได้อยู่ในตำราและแตกต่างจากสถานที่อื่นในยุโรปเป็นอย่างมาก”

“เราเป็นประเทศที่มีอดีตอันรุ่งโรจน์ รัฐแรกในอาณาเขตปัจจุบันของยูเครนคือ Kyivska Rus ก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 9 เมืองหลวงคือกรุงเคียฟ (Kyiv) ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ การก่อตัวของรัฐแรกเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทางการค้าระหว่างประเทศและความโดดเด่นใหม่ของเส้นทาง Dnipro จากทะเลบอลติกไปยังไบแซนเทียมซึ่งปัจจุบันคืออิสตันบูลในตุรกี”

“มีข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับยูเครน ในด้านพัฒนาการทางการเกษตร อุตสาหกรรม และไอที ซึ่งได้รับประโยชน์จากความรู้และเทคโนโลยีที่พัฒนาโดยสถาบันวิทยาศาสตร์หลายร้อยแห่งของเรา”

“ยูเครนเป็นบ้านเกิดของเครื่องบินขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ อันโตนอฟ อัน-225 มรียา (Antonov An-225 Mriya) สามารถเทกออฟด้วยน้ำหนักรวมสูงสุดราว 640 ตัน มีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ในการขนส่งสินค้าขนาดหนักและใหญ่ที่สุดทางอากาศสำหรับระยะทางไกล” ท่านทูตชี้แจง

อันโตนอฟ อัน-225 มรียา ถือเป็นอากาศยานที่มีลำตัวยาวและน้ำหนักมากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา และยังมีระยะระหว่างปลายปีกทั้ง 2 ข้าง (wingspan) ยาวที่สุดในบรรดาเครื่องบินที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

“นอกจากนี้ ยูเครนยังมีวงจรโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการสร้างจรวด มีฐานความรู้ที่สำคัญทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม และบันทึกความสำเร็จในการดำเนินโครงการอวกาศนานาชาติ”

“ในปี ค.ศ.2008 ดาวเทียม THEOS สำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทยขึ้นสู่วงโคจรเป็นผลสำเร็จ ด้วยยานอวกาศของยูเครน Dnipro”

“ส่วนภาคการเกษตร เป็นที่ทราบกันดีว่ายูเครนเป็นแหล่งผลิตขนมปังของยุโรป จึงถูกเรียกว่าเป็นตะกร้าขนมปังหรืออู่ข้าวอู่น้ำของยุโรป เพราะยูเครนมีพื้นที่สีดำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก ดังนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมา ยูเครนจึงเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่สู่ประเทศไทยมาโดยตลอด หากดูธงชาติยูเครน จะเห็นคล้ายกับทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองและท้องฟ้าที่มีสีฟ้าไม่รู้จบ”

“ในฐานะประเทศใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ยูเครนมีความหลากหลายทางการท่องเที่ยว เป็นที่ตั้งของสถานที่สวยงามพร้อมกิจกรรมการท่องเที่ยวมากมาย แต่ละเมืองมีรูปลักษณ์และบรรยากาศที่ไม่แตกต่างกันไป จากศูนย์กลางวัฒนธรรมและธุรกิจของเคียฟ (Kyiv) เมืองหลวงของยูเครน ไปจนถึงโอเดสซา (Odesa) ที่มีแสงแดดอันอบอุ่นด้วยมิตรภาพของคนท้องถิ่น ไปสู่เมืองเล็กๆ ในยูเครนตะวันตกซึ่งกำลังรอคอยการมาเยี่ยมเยียนจากคุณ”

ท่านทูตเชิญชวน

เมืองโอเดสซามักจะถูกเรียกว่าไข่มุกแห่งทะเลสีดำ เป็นเมืองที่สวยงามบนชายฝั่งทะเลสีดำ มีวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตก โอเดสซาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกสำหรับงานศิลปะและวัฒนธรรม โรงละครโอเปราและบัลเลต์แห่งชาติโอเดสซาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งในโอเดสซา เป็นโรงละครเก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโอเดสซา ตกแต่งในสไตล์บาร็อกอิตาเลียนสไตล์ ห้องโถงแบบเกือกม้าที่แม้เสียงกระซิบจากเวทีก็สามารถได้ยินไปทั่ว

“ยูเครนมีมรดกโลกเจ็ดแห่งซึ่งรวมถึงมหาวิหารเซนต์โซเฟีย (Saint-Sophia Cathedral) ในศตวรรษที่ 11 และอารามงามโอ่อ่าที่ชื่อ เคียฟ เปเชอรสกา ลาฟรา (Kyiv-Pechersk Lavra) ในศตวรรษที่ 10 ที่กรุง Kyiv มหาวิหารทั้งสองแห่งนี้เป็นตัวแทนอันโดดเด่นของอนุสรณ์สถานมรดกทางวัฒนธรรมจากยุคกลางและยุคสมัยใหม่ตอนต้น”

“มหาวิหารเซนต์โซเฟีย ตั้งอยู่ในศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของกรุงเคียฟ เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สำคัญแสดงถึงศิลปะและสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ในต้นศตวรรษที่ 11 มหาวิหารแห่งนี้ยังคงรักษาการตกแต่งภายในแบบโบราณเอาไว้ คอลเล็กชั่นของโมเสกและจิตรกรรมฝาผนังในศตวรรษที่ 11 นั้นมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร”

“ส่วนมหาวิหารเคียฟ เปเชอรสกา ลาฟรา เป็นกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูง สามารถมองเห็นฝั่งขวาของแม่น้ำ Dnipro เป็นผลให้เกิดวัฒนธรรมและภูมิทัศน์ของเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อาคารเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาหลายศตวรรษและกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง”

“สถานที่ที่น่าสนใจไปเยี่ยมชมอีกแห่งคือ โบสถ์ไม้ของภูมิภาคคาร์เพเทียน (Wooden Churches of the Carpathian Region) ตั้งอยู่ที่ขอบตะวันออกของยุโรปกลาง ภายในเทือกเขาคาร์เพเทียนของโปแลนด์และยูเครน โบสถ์ไม้สิบหกแห่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของประเพณีการสร้างด้วยไม้ในศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ในประเทศสลาฟที่ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้”

“รูปแบบสถาปัตยกรรมของโบสถ์พร้อมแผนสามส่วนโดมพีระมิด หอหลังคาโดม และหอระฆังเป็นไปตามข้อกำหนดของพิธีสวดตะวันออกในขณะที่สะท้อนประเพณีทางวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่นที่มีพัฒนาการแยกจากกันเนื่องจากภูมิประเทศเป็นภูเขา”

“บางครั้ง มีผู้กล่าวว่า ลวิฟ (Lviv) เป็นเมืองที่มีคาเฟ่มากที่สุดในโลกต่อคน”

“ฟีโอนา ดันแคน (Fiona Duncan) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรงแรมของ Telegraph Travel กล่าวหลังจากที่ได้ไปเยือนเมืองลวิฟว่า เมืองนี้อยู่กันอย่างง่ายๆ สบายๆ อากาศไม่เป็นปัญหา เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัย มีการออกแบบลวดลายประดับตามแนวคิดศิลปะผสมผสานแห่งยุคเรเนสซอง, บาโรก, Belle Epoque และอาร์ตนูโว และยังได้กลิ่นหอมอบอวลจากร้านกาแฟสไตล์เวียนนามากมายหลายร้อยแห่ง”

เมืองลวิฟอยู่ทางตะวันตกของประเทศยูเครน ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายยุคกลางที่มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 และ 6 เจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการปกครอง ศาสนาและการค้า เนื่องจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยต่อการค้าขาย เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังคงอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างในอดีตอย่างถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหินหรืออาคารบ้านเรือนที่มีสถาปัตยกรรมแตกต่างกันได้เป็นอย่างดี

ในอดีตลวิฟเคยเป็นเมืองหลวงของราชรัฐกาลิเซีย-โวลไฮเนีย (Galicia-Volyn) และต่อมาก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (Austro-Hungarian Empire) และประเทศโปแลนด์

จึงทำให้เมืองนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมืองประวัติศาสตร์ของลวิฟได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ.1998

“ความหลากหลายของภูมิประเทศยูเครนจะเป็นที่ประทับใจ เพราะถ้าคุณชอบภูเขาคุณควรไปเยือนคาร์พาเทียน (Carpathian Mountains หรือ Carpathians) ในยูเครนตะวันตก บริเวณนี้งดงามมาก ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยป่าทึบ มีแม่น้ำไหลตามภูเขาที่ใสสะอาด น้ำพุ น้ำแร่ และน้ำตก อากาศที่สดชื่นช่วยเยียวยา คุณจะเพลิดเพลินไปกับการเยี่ยมชมเทือกเขาคาร์พาเทียนได้ตลอดทั้งปีสำหรับการเดินป่า และการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง เช่นเดียวกับการเล่นสกีในช่วงฤดูหนาว”

เทือกเขาคาร์พาเทียนได้รับฉายาว่า “ไข่มุกสีเขียวแห่งยูเครน” เพราะเป็นหนึ่งในศูนย์กลางรีสอร์ตและการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากคือป่าไม้กับทุ่งหญ้าอันสวยงามตามธรรมชาติ

“ชาวยูเครนชอบที่จะกิน เป็นประเพณีที่หยั่งรากลึก แน่นอน ครัวของยูเครนจึงมีมาตรฐานของอาหารสูง และเป็นไปไม่ได้ที่จะจินตนาการอาหารยูเครนโดยไม่มีวาเรนสกี (Varenyky) อาหารสำหรับทุกโอกาส ซึ่งเป็นเกี๊ยวขนาดเล็กอัดแน่นไปด้วยส่วนผสมที่ไม่จำกัด แบบดั้งเดิมมากที่สุดคือกะหล่ำปลีดอง, มันฝรั่งบด, เห็ด, คอตเทจชีส และมักจะราดด้วยครีมหรือหัวหอมทอด”

“ไปยูเครนก็ควรลิ้มลองอาหารท้องถิ่น Borsch คืออาหารที่ขึ้นชื่อลือชา และมีมากกว่า 300 ชนิดไม่ได้เป็นเพียงซุปหัวบีต แต่เป็นหนึ่งในเสาหลักของการทำอาหารยูเครน แม้พ่อครัวจะปรุงอาหารส่วนผสมเดียวกัน แต่รสชาติก็จะแตกต่างกัน Borscht ของยูเครนเป็นซุปที่มักจะเตรียมด้วยกะหล่ำปลี, มันฝรั่ง, แคร์รอต, หัวหอม, ผักชีฝรั่ง และหัวผักกาดจำนวนมากหลายที่ช่วยทำให้ Borscht มีสีแดงเข้มที่แตกต่างกัน”

“ตั้งแต่เดือนเมษายน 2018 เรารับวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ (e-Visa) เพื่อเข้าประเทศยูเครน ตอนนี้คุณเพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ โดยไม่ต้องออกจากบ้านเพื่อขอวีซ่า คุณเพียงกรอกแบบฟอร์มใบสมัครออนไลน์ ดาวน์โหลด สแกนสำเนาเอกสารที่ต้องการ ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตธนาคาร และพิมพ์วีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะส่งทางอีเมลถึงคุณ”

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://mfa.gov.ua/en/consular-affairs/entering-ukraine/e-visa

“คนไทยสามารถเดินทางไปยูเครนและเดินทางไปทั่วประเทศได้ง่ายมากเนื่องจากมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังกรุงเคียฟ เมืองหลวง โดยสายการบินยูเครน (Ukraine International Airlines : UIA) สำหรับการเดินทางในยูเครนมีทั้งเครื่องบิน รถไฟ รถโดยสาร และรถโดยสารท้องถิ่นขนาดเล็ก ส่วนในเมืองใหญ่ รถไฟใต้ดิน รถราง รถเมล์ รถประจำทาง และแท็กซี่”

ท่านทูตอันดรีย์ เบชตา กล่าวว่า

“ยูเครนเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างใหม่ และบางครั้งนักท่องเที่ยวก็มองข้าม อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังมองหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสวยงามและธรรมชาติอันบริสุทธิ์โอบล้อมด้วยภูเขา มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ยูเครนเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ”

“ซึ่งผมหวังว่าประเทศของเราจะมีโอกาสได้ต้อนรับเพื่อนคนไทยเพิ่มขึ้นอีกในไม่ช้านี้”