วิเคราะห์ | ดินเนอร์ สยบรอยร้าว “บิ๊กตู่” เคลียร์ใจ 3 พรรค พิสูจน์รักแท้ “ปริ่มน้ำ”

ถือเป็นดินเนอร์ “นัดด่วน-ทานด่วน” ของแท้

หลังพิษแพ้โหวตของรัฐบาลต่อฝ่ายค้านแผลงฤทธิ์ขึ้น เมื่อฝ่ายค้านชนะโหวตตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการกระทำประกาศและคำสั่งของ คสช. และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “กมธ.เช็กบิล คสช.”

แน่นอนว่ามีเสียงคำรามจาก “บิ๊กรัฐบาล” ที่ไม่ต้องการให้ กมธ.เช็กบิล คสช. ตั้งขึ้นได้

จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ฝ่ายรัฐบาลขอนับคะแนนใหม่ ทำให้ฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมสภา การประชุมสภาล่มไป 2 ครั้งติด

แถมมีเสียงจาก 6 ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่โหวตสวนฝ่ายรัฐบาลด้วย จนทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ต้องปลุกวิญญาณทหารเก่าทวงสัญญาลูกผู้ชายและสุภาพบุรุษ

ถ้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ควรร่วมรัฐบาลกันจริงๆ ขึ้นมา

หลังกระแสรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาลยิ่งลึกระหว่าง 3 พรรคแกนนำ ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ที่เรียกว่า “ศึก 3 ก๊ก” หรือ “รัก 3 เส้า” ทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กับบุคคลในรัฐบาลสายเศรษฐกิจด้วยกัน จนนำมาสู่การที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ต้องออกมาปกป้อง “เสี่ยโอ๋” ถึงกับเอ่ยคำพูดในลักษณะว่า ถ้าไม่มีศักดิ์สยามก็ไม่มีอนุทิน แถมยังมีปมที่พันกับทั้ง 3 พรรค คือเรื่องการแบน 3 สารพิษด้วย

ยิ่งตอกย้ำความไร้เอกภาพของ “ครม.เศรษฐกิจ” ที่เกิดขึ้น เพราะรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจมาจาก 3 พรรค แถมแต่ละพรรคยึดหัวหาดแต่ละสาย ทำให้การทำงานเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ทำผลงานเข้าพรรคมากกว่าเข้ารัฐบาล เช่น “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ก็รับบทเซลส์แมนประเทศ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลังรับบทซานตาคลอส “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม รมว.คมนาคม ก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ตามที่ “เสี่ยหนู” เคยระบุถึงตัวตน “เสี่ยโอ๋” ไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว “บิ๊กตู่” ได้เปิดช่องให้มีการจัดทานข้าวพรรคร่วมรัฐบาลขึ้น หลังทุกฝ่ายรอนายกฯ เคาะทุกอย่าง จนเป็นที่มาของการนัดทานอาหารค่ำ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมี 18 พรรคร่วมรัฐบาลร่วมงานคับคั่ง ทั้งแกนนำพรรค รัฐมนตรีจากพรรคต่างๆ

ทำให้การทานข้าวครั้งนี้มีความหมายและนัยสำคัญอย่างมากในการสะสางปัญหาทั้งหมดที่เป็น “ศึกใน” ที่เตรียมรับ “ศึกนอก” ปลายเดือนมกราคม 2563 หลังฝ่ายค้านเตรียม “ศึกซักฟอก” รออยู่

สําหรับพรรคภูมิใจไทยดูแล้วน่าจะสมานรอยร้าวได้เร็วที่สุด ด้วย “เสี่ยหนู” เป็นคนตรงไปตรงมา ได้ออกมาระบุถึงสถานการณ์ในพรรคร่วมรัฐบาลว่า “มันดีอยู่แล้ว ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย เรามาครบอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา” แต่งานนี้ต้องดู “เสี่ยโอ๋” ด้วยว่า “โอเค – โนพร็อบเบลม” หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีเรื่องราวการฟ้องร้องเกิดขึ้นมาแล้ว

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีกลเกมการเมืองเหนือชั้น นับตั้งแต่การฟอร์มทีมรัฐบาลและตำแหน่งประธานสภา ส.ส. ที่ได้เห็นอิทธิฤทธิ์ “เขี้ยวลากดิน” มาแล้ว ผ่านมาเกือบ 5 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองว่าเป็น “หอกข้างแคร่” พล.อ.ประยุทธ์มาตลอด

ซึ่งถูกตอกย้ำด้วยการที่ 6 ส.ส.ประชาธิปัตย์โหวตสวนมติฝ่ายรัฐบาลปม กมธ.เช็กบิล คสช. แม้บุคคลใน 6 ส.ส.ต่างออกมาชี้แจงถึงเหตุผลในการโหวตสวนว่า ญัตตินี้เป็นญัตติของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอโดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคและสมาชิกอีก 6 คน และมีผู้รับรองอีก 20 คน

อีกทั้งการโหวตเป็นการโหวตเพื่อสนับสนุนญัตติของ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเนื้อหาญัตติดังกล่าวแตกต่างจากญัตติอื่นของฝ่ายค้าน และเพื่อยืนยันว่าไม่ได้เป็น “งูเห่าสีฟ้า” ตามที่ถูกกล่าวหา

ซึ่งทางพรรค ปชป.ก็ขอให้ ส.ส.ที่โหวตสวน เปลี่ยนมาเป็น “งดออกเสียง” ในการลงคะแนนใหม่แทน แต่สุดท้ายพวกเขายังคงยืนกรานที่จะโหวตสวน “เห็นด้วย” กับการตั้ง กมธ.เช็กบิล คสช.

แต่งานนี้กลับมี “งูเห่า” จากพรรคฝ่ายค้านเกิดขึ้นแถมมา โดยได้ลงมติแสดงตนนับองค์ประชุมด้วย แม้ว่าฝ่ายค้านจะมีมติไม่ร่วมลงมติแสดงตนนับองค์ประชุมก็ตาม

ทั้งนี้ “จุรินทร์” เคยระบุว่า ตามหลักการทำงานในรัฐสภา ต้องมีมติวิปออกมา แล้วแต่ละพรรคก็ปฏิบัติตามมติวิป เนื่องจากระบบรัฐสภา รัฐบาลต้องการเสียงข้างมากในสภา แต่ละมติจะกำหนดโดยวิปรัฐบาล แม้แต่ฝ่ายค้านก็มีมติของวิปฝ่ายค้านให้แต่ละพรรคการเมืองไปปฏิบัติ

ทั้งนี้ ระหว่างการทานข้าว 18 พรรคร่วมรัฐบาล “บิ๊กตู่” ได้โอบกอด “จุรินทร์” แต่สุดท้ายกอดนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ตามที่ “พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล” อดีต ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “กดดันเฉลิมชัยให้มีผลถึง 6 สมาชิก พิสูจน์ธาตุแท้หัวใจสีฟ้า”

รวมทั้งท่าทีฝ่ายค้านอิสระอย่าง “เต้-มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” หน.พรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ถูกตั้งแง่ว่าสุดท้ายแล้วเป็นฝ่ายค้านอิสระหรือฝ่ายรัฐบาลอิสระกันแน่ โดยหลังการทานข้าวพรรคร่วมรัฐบาล “บิ๊กตู่” ได้ถามหา “เต้อยู่ไหน” โดยนายกฯ กล่าวว่า “ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป มงคลกิตติ์จะประพฤติตัวใหม่” ก่อนจะล็อกคอ “เต้ มงคลกิตติ์” อย่างมันเขี้ยว

พร้อมกล่าวว่า “นี่คือคนรุ่นใหม่”

ด้าน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะ ปธ.กรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ กล่าวติดตลกถึง “มงคลกิตติ์” ที่นายกฯ บอกว่าจะเป็นคนใหม่ว่า “จะเป็นคนดีไง ตอนนี้เป๋ๆ ไปหน่อย” ส่วน “มงคลกิตติ์” จะย้ายจากฝ่ายค้านอิสระมาอยู่กับฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่รู้ แล้วแต่เขา ตนไม่ได้พูดคุยด้วย

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์เผยถึงเสียง “ไชโย” 3 ครั้งหลังงานเลี้ยง ไม่ได้ไชโยเรื่องอะไร เพียงแต่เราได้หารือกันว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ไชโยเพื่อประเทศไทย ตนคิดว่าจากพรุ่งนี้ (4 ธันวาคม) ไป ทุกอย่างจะราบรื่น แต่เราไปบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น ทุกคนจึงต้องมองว่าประเทศชาติจะเดินหน้าไปได้อย่างไร

วันนี้ทุกคนจึงได้มาคุยกัน บางครั้งตนอาจจะพูดและพบกับเขาน้อยไปหน่อย ทำให้ไม่รู้ว่าตัวตนนายกฯ เป็นอย่างไร

ส่วน พล.อ.ประวิตรแสดงความมั่นใจว่ารัฐบาลมีความมั่นคงและจะอยู่ยาว

รวมทั้ง “เสี่ยหนู” ก็มั่นใจเช่นกัน โดยระบุว่า ตนก็ตั้งเป้าไว้เช่นนั้น ทำงานมา 4-5 เดือน ผลงานก็ออกมาเยอะ ความสัมพันธ์ต่างๆ ก็แนบแน่นขึ้น และจะมีการทานข้าวพรรคร่วมรัฐบาลอีกเรื่อยๆ โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพของแต่ละพรรค พร้อมย้ำว่าไม่มีปัญหาในรัฐบาลที่จะต้องเคลียร์

“ปัญหาคือมีคนเสี้ยมทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลย เพราะคุยกันตลอดเวลาเรื่องการทำงานต้องมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนการตัดสินใจก็เป็นเหตุผลของแต่ละคน แต่จะไม่มีเรื่องความเป็นส่วนตัว จึงเชื่อว่าจะไม่มีการเอาความขัดแย้งที่เห็นไม่ตรงกันมาเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วทำให้เกิดความสะใจ ซึ่งการจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้นั้นไม่เอา เพราะการทำงานให้บ้านเมือง ไม่มีเรื่องแพ้-ชนะ”

นายอนุทินกล่าว

แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือน “บิ๊กตู่” จะติดอกติดใจไม่น้อย โดย “จุรินทร์” ระบุว่า “ตามจริงประชาธิปัตย์ก็แค่หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ท่านก็ต้องดูแลทุกพรรค ซึ่งเราก็ทำหน้าที่ของเราในพรรคร่วมรัฐบาล ที่ผ่านมาก็ทำงานกันด้วยดีเพราะเป้าหมายหลักคือทำงานตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภา ให้ครบถ้วนที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน”

ส่วนที่พรรคร่วมรัฐบาลดูจะเป็นห่วงพรรคประชาธิปัตย์เพราะคุมเสียงในพรรคไม่ได้ทั้งหมดนั้น นายจุรินทร์ชี้แจงว่า

“ทุกพรรคก็ต้องช่วยกัน ไม่ใช่เฉพาะพรรคใดพรรคหนึ่ง ที่มาร่วมรัฐบาลด้วยกันนี้ ก็จะต้องทำหน้าที่ของแต่ละพรรค ตั้งแต่พรรคแกนนำไปจนถึงพรรคร่วมรัฐบาล ที่ถูกพรรคก็ทราบภารกิจดีอยู่แล้ว โดยนายกฯ ก็ไม่ได้กำชับอะไร ผมเข้าใจดีอยู่แล้ว ว่าทุกพรรคก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำอะไรบ้าง จึงเป็นหน้าที่ของวิปรัฐบาล ที่ประกอบด้วยวิปของทุกพรรคที่มาร่วมรัฐบาล ที่จะต้องทำงานร่วมกันและรวบรวมเสียงให้เป็นไปตามเป้าหมายในสภา”

เป็น “รักแท้ปริ่มน้ำ” ต้องอยู่ทนและทนอยู่กันไป!