การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ปีกนกที่บินโบก

“น้องใหม่ทำงานกับแฟนหรือ”

พี่ชุนถามขึ้น ขณะส้มตำพร่องออกจากจานแล้วกว่าครึ่ง นังคนแพศยารีบคว้าแก้วน้ำขึ้นดื่ม ทำแก้มแดง ปากแดง เป่าลมราวว่าเผ็ดเหลือจะทน

ไม่เท่านั้น ยังวักลมพัดวีใส่ตัวเอง

“ค่ะ…โอ้ย! เผ็ดๆ”

พี่ชุนหัวเราะอย่างขบขัน รินน้ำอัดลมเติมใส่แก้วให้อีก พลางบอก

“เอ้า งั้นก็กินน้ำก่อน เดี๋ยวค่อยตอบ”

อัมพรตีสีหน้าอย่างอายๆ แล้วยกน้ำโค้กขึ้นจิบ ทำท่ากะร่อยกะหริบ ดังเป็นละอ่อนเพิ่งนมตั้งเต้า

ชาติหมา! ใจฉันพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก ทำไมจะไม่เคยรู้เช่นเห็นชาติหล่อน

 

[“มา มา เสร็จแล้ว”

อัมพรยกครกเทลงชามกระเบื้องใบใหญ่ กลิ่นเผ็ดกลิ่นเปรี้ยวสาบฟุ้งขึ้น

“เอาไปตั้งโต๊ะหน้าบ้าน”

ชามโสะส้มยัดใส่มือฉัน และไม่นานจากนั้น ที่โต๊ะในบ้านนายจ้าง อัมพรก็นั่งสูดปากสูดคอ

“อูย ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะว่าโสะส้ม”

ด้วยมือเปล่า อัมพรคีบเอาชิ้นมะม่วงฝานหย่อนเข้าปาก น้ำฮ้าย้อยหยดเป็นทาง ใช้หลังมือป้าย ดูเอร็ดอร่อยถึงใจ

ฉันแทบจะปวดกรามไปหมด เพราะน้ำลายเริ่มออกเกือบเต็มกระพุ้งแก้ม พยายามจะปลีกตัวหลบไป นังชาติวอกก็ยังเอาแต่ชักชวน ไม่ยอมให้ไปง่าย

“ไม่เอาซักหน่อยเร้อ แก้ง่วงดีขนาด”

“ก็ไม่ได้ง่วงนี่…คุณจ่าให้รีดผ้า…”

“เออ รู้แล้ว!” อัมพรขึ้นเสียง “ไม่ต้องมาเป็นกำกึ้ดอะไรมาก เจ็บหัว”

หมายถึงว่าอย่าคิดอะไรให้มากนัก จะปวดหัวเปล่าๆ

“เดี๋ยวฉันรับผิดชอบเอง เวลามีให้ม่วนก็ม่วนเอาไว้ก่อน อย่าง่าวนัก!”

“เอ๊ะ เธอนี่” ฉันฟังคำพูดอัมพรแล้วก็ไม่สบอารมณ์เหมือนกัน “”คำก็ง่าวสองคำก็ง่าว ไม่ใช่พี่ใช่น้องเธอนะ!”

อัมพรหน้าเจื่อนลง แต่ยังคงวางท่า

ฉันเป็นฝ่ายผุดลุกขึ้นก่อน

“เธอกินไปเหอะ ฉันไปรอข้างบนแล้วกัน จะสอนรีดผ้าเมื่อไหร่ก็บอก”

“เชิญเลย” อัมพรเคยกระแทกเสียง “คนอะไรง่าวใบ้ง่าวบอด ไม่ต้องรีบอยากทำนักหรอกงาน เดี๋ยวมือตีนจะไม่ได้ว่างได้เว้น มึงขึ้นไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ กินเสร็จกูจะไป”]

 

นั่นไม่ใช่หล่อนหรอกหรือ คนมายาสาไถย กินพริกได้เป็นกำๆ โสะส้มจนแดงเถือกไปทั้งจาน ไหนจะมักกะปิปลาร้า พอมาถึงตอนนี้ทำเป็นผู้ดีตีนแดงขึ้นมา

“เอ๊ะ แล้วตะกี้ใครนะ สั่งว่าเอาเผ็ดๆ” พี่ชุนพูดหยอกเย้าขึ้น

นังคนปลิ้นปล้อนทำเป็นยิ้มเจื่อนทันควัน

“คือ…สารภาพก็ได้ น้องไม่ใช่คนกินเผ็ดหรอก แต่อยากลอง ที่บ้านแฟนก็กินแต่ของจืดๆ กันแหละ”

“โธ่เอ๊ย” พี่ชุนส่ายหัว “กินไม่ได้ก็คือไม่ได้ จะลองไปทำไมให้แสบปาก”

“เออ…นั่นสินะคะ” นังอัมพรเงยหน้า แล้วมองตาพี่ชุนอย่างรู้คิดขึ้นมา…ฉันเห็น สายตางูพิษของหล่อน ช่างซ่อนแม้แต่ตัวตนเก่าๆ ได้แสนแนบเนียน

ยกแก้วน้ำอัดลมจ่อปากอีก หนนี้ทำทีดื่มอักๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนใช้หลังมือป้ายที่เลอะปาก

?ปาก ที่ยังแดงด้วยลิปสติกเฉิดสี

พี่ชุนส่ายหัว อมยิ้มอย่างอ่อนใจในท่าที ขณะที่ฉันรู้สึกดั่งนั่งดูละคร

 

“ใหม่ทำอะไรที่บ้านแฟนนะฮะ” พี่ชุนถามขึ้นอีกครั้ง ดูตั้งใจสอบถามอย่างสนใจ

“บ้านแฟนมีกิจการหลายอย่างค่ะ ที่กาดหลวง ตรงเหล่าโจว๊ก็มี เขาช่วยให้พี่สาวเปิดร้านผ้าด้วย ใหม่ก็เลยต้องวิ่งอยู่หลายที่ ช่วงนี้หลักๆ ก็ดูร้านขายผ้ากับเขา”

“ก็ฟังดูดีนี่ฮะ แล้วทำไมไม่มีความสุขล่ะ”

“โธ่…ก็พี่น่าจะรู้”

นางงูพิษทำเสียงออด

“คนเราคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก อีกอย่าง…แต่งเข้าบ้านเขาอย่างนี้ เราคนจนยากมาก่อน ก็เหมือนทาสเขาดีๆ นี่เอง”

พี่ชุนมีแววตาเห็นอกเห็นใจเต็มกำลัง และ…จนกระทั่งยื่นมือไปแตะหลังมือนังคนสัปปะหลี้เบาๆ

“พี่ให้กำลังใจนะ ถ้ามีอะไรช่วยได้ก็ให้บอก”

“?ขอบคุณค่ะ” อัมพรเม้มปาก แล้ววับวาวหนึ่งก็เอ่อท้นออกมา

นังตอแหล! ฉันอยากจะตะโกนออกไปดังๆ แต่ได้เพียงนั่งเบื้อใบ้อยู่

“คำบะเก่าว่า ของบ่มักไผจ้างขับจ๋ำ จิ่งก๊ดว่าลำจึงยำลาบส้า…แต่ชีวิตของน้อง มีแต่คนบังคับไปบังคับมาอยู่ตลอด…แค่อยากมีชีวิตเป๋นอย่างที่ตัวเก่าเป๋นเท่านั้น…”

ชั่วช้า…มารยา…ชาติวอกชาติหมา…ฉันได้แต่ข่มใจไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า แน่ละ เป็นความจริงที่ว่าทั้งฉันและอัมพร เราต่างมีชีวิตขึ้นอยู่กับคนอื่นเสมอมา

ทว่าเป็นหล่อนที่มีโอกาสจะเอาตัวรอดอยู่หลายครั้งคราว ซึ่งบางครั้ง แม้ต้องเหยียบย่ำบ่าไหล่ใครขึ้น หล่อนก็เคยทำมา

นี่สินะ ธาตุแท้ของคนเรา หึ แล้วตอนนี้ใครกันล่ะที่โง่เง่า หรือยังคงเป็นตัวฉัน

 

อากาศเย็นสบายอยู่ตลอดเวลา ใต้หลังคาที่ร่มรื่นกลางแดดจ้า หยีตามองเวิ้งฟ้า ก้อนเมฆฟูฟ่องกระจัดกระจายตามลมบน ยังไม่มีคนอื่นขึ้นมาบนไหล่เขานี้ มีเพียงคณะของเรากับสองผัวเมียเจ้าของ

เวลาผ่านไป ฉันมองเห็นอัมพรได้ชัดเจนมากขึ้น ยิ่งในเวลาที่หล่อนสนทนาอยู่กับพี่ชุน บอกเล่าเรื่องราวมากมาย ฟังผ่านๆ หูไป ก็ยังจับความได้ว่ามีทั้งเรื่องจริงเรื่องแต่งปะปน อย่างที่เป็นอยู่ตลอดมา

อัมพรบอกเล่าว่า หล่อนมาจากอำเภอเดียวกับฉัน มาพบกันเพราะการทำงานในบ้านคุณจ่า ข้อนี้หล่อนพูดตามสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แต่นอกจากนั้น เป็นภาพของตัวฉันผู้โง่เง่าไร้เดียงสา กับตัวหล่อนที่ก็อ่อนต่อโลกไม่หย่อนไปกว่ากัน

หล่อนเป็นคนงานให้กับฉัน…ทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่การล้างถ้วยล้างชาม พับผ้า รีดผ้า เอาขยะทิ้งถัง กล่าวโดยสรุปว่า หล่อนคือผู้มาก่อนจนสอนงานฉันได้ เต็มไปด้วยความห่วงใยเอื้ออารี เป็นพี่เป็นน้องกับฉัน เห็นแก่การเป็นคนพื้นเพเดียวกัน แต่ก็นั่นแหละ…นั่นแหละ หล่อนยังทำเป็นลดเสียงต่ำ ฉันเป็นคนไม่เหมือนใคร ฉันไม่ใช่คนว่าง่ายอย่างใคร

ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าหล่อนฉลาดพูดเพียงใด เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าพี่ชุนเป็นอะไรกับฉันอยู่ 

 

“พี่เข้าใจน้องมากเลยนะ” พี่ชุนพูดกับงูพิษร้าย

“พวกเราก็เหมือนคนตกน้ำหัวเปียงกัน เกิดมาเป็นอย่างนี้ แล้วยังต้องมามีเคราะห์บาปเวร มีแต่คนข่มเหงรังแก”

“แม่น ใช่แล้วค่ะ”

“ที่พี่ทำงานก็เหมือนกัน ปากว่ารู้ว่าเราเป็นอะไร ใจมันไม่ใช่จะยอมรับเราแท้” พี่ชุนพูดแล้วยักไหล่ “แต่พี่ก็ไม่แคร์หรอก เป็นอย่างนี้ไม่ได้หนักหัวใคร”

แล้วทั้งสองคนก็มองตากัน…นั่นฉันก็เห็นอีก การจ้องลึกเข้าไปในหน่วยตา ต่อให้พี่ชุนยื่นมือมาใต้โต๊ะ จับมือฉับบีบไว้เบาๆ

อะไรสักอย่างก็บอกให้รู้ว่า เวลาของการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึง

 

“อีพี่”

อัมพรส่งเสียงเรียกฉัน ขณะที่มองผ่านรั้วระแนงผุๆ ไป พี่ชุนยังนั่งที่โต๊ะ พูดคุยกันกับสองผัวเมียเจ้าของร้าน และจุดที่เราสองยืนอยู่นั้น เป็นส่วนกั้นทำห้องส้วมแคบๆ ประตูทำจากแผ่นสังกะสีขึ้นสนิม เถากุหลาบป่าเลื้อยพันพาดระ จะว่าสวยก็ใช่ แต่จะพูดว่าอัปลักษณ์อนาถาก็ได้เช่นกัน

จุดนั้น เจ้าของคงจงใจให้ห่างไกลสายตาผู้มาดื่มกิน

ฉันไม่ตอบ เบี่ยงตัวจะเดินจาก หากอัมพรคว้าข้อมือไว้

“เดี๋ยว”

ฉันหยุดอยู่กับที่ จ้องอัมพรตาเขม็ง

“กูดีใจนะ ที่ได้เจอมึง”

?กู…มึง นั่นคือคำสรรพนามที่เคยใช้ แต่ก็ไม่ใช่อีกคำที่เคยขาน

“เธอคิดถึงฉันมั้ย” นั่นยังไง นังคนปลิ้นปล้อนเป็นฝ่ายถ่มคำพูดออกมา

ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า แล้วงูพิษจะต้องพูดอย่างนี้

“มึงอย่ามาพูด” ฉันกัดปากตัวเอง แต่คำพูดก็หล่นออกไปแล้วเช่นกัน “มึงมันคนชาติหมา”

“เออ หมาก็หมา”

หน่วยตาสีใบไม้แห้งหวนกลับมาหาฉัน อัมพรมีสันจมูกโด่งขึ้น คิ้วก็โก่งขึ้น หล่อนไปทำอะไรมา ท่ามแสงแดดที่ยังพร่างพร่าอยู่รอบตัว ฉันยืนอยู่กับนังคนชั่ว ที่ยังคงเอิบอาบด้วยคราบเน่าหนอน

แต่ก็คือตัวฉัน อกฉัน นมฉัน ที่ปล่อยให้หล่อนเฟ้นฟอน อย่างตะกละตะกรามและหลงใหล เป็นฉันที่หอบหายใจถี่ๆ ตอนที่ถูกผลักให้หลังแนบฝาสังกะสีจนมีเสียงดังกราว

เกือบสะดุ้ง ว่าพี่ชุนจะเหลียวมองมา แต่เพราะว่าตรงนั้นลับตาจนยากจะคำนึงถึง มีคำด่าผุดออกมาจากปากฉันมากมาย เป็นเส้นเป็นสาย จนกระทั่งขาดห้วง

กลับมายืนตัวตรง ขาสั่น เช็ดมือบนปากตัวเองแรงๆ เกือบจะแน่ใจว่า ลิปสีแดงนั้นติดเปื้อนถึงแก้ม

อัมพรล้วงกระเป๋ากางเกง ควักลิปสติกหลอดหนึ่งขึ้นมา ป้ายฉับเข้าที่ปากตัวเอง และป้ายเข้าที่ปากของฉัน

“ว้าย! พลาดจนได้”

หล่อนอุทานเสียงใส ซึ่งแน่ละ หนนี้ได้ยินไปจนถึงหูคนนั่งรออยู่

กลับไปถึงที่โต๊ะ พี่ชุนมองดูเราทั้งคู่อย่างขบขัน

“อ้าว อะไรนั่น เล่นทาลิปกันหรือ”

นังงูพิษหัวเราะหัวใคร่

“ไม่ได้เรื่องเลย เฮ้อ เลอะไปเลย พอกัน”

“ไม่ต้องทาลิปก็สวยอยู่แล้ว” พี่ชุนว่า

“ใครคะ” นังแพศยาเอียงคอถาม “ใหม่หรือพี่”

พี่ชุนหัวเราะอีก

“ทั้งคู่นั่นแหละ”

 

มีนกสีขาวตัวหนึ่ง บินโฉบจากยอดไม้ เหมือนจะมุ่งไปที่ไหนสักแห่ง พร้อมกับเสียงครืดคราดซัดซ่า ผัวเจ้าของร้านกำลังเริ่มหมุนหาคลื่นเปิดวิทยุ ครู่หนึ่งก็มีเสียงเพลงลูกทุ่งกังวานออกมา

ราวบังเอิญ เป็นเพลงของสายัณห์ สัญญา

“…หอมอันใดจะชื่นใจเท่าแก้มนาง เมื่อได้ดอมหอมมิจาง หอมจริงแก้มนาง แก้มนางเนื้อหอม…ชุ่มชื่นใจ แม้ใครก็ต้องยินยอม ว่ากลิ่นปรางช่างหอม หอมยิ่งกว่าสิ่งใดเอย…”

อัมพรปรายตามาดูฉัน และตัวฉันก็เพียงทำหน้านิ่ง มองตามแต่ปีกนกที่บินโบกใต้ฟ้าคราม.