เปลือยชีวิต “เชอรี่ สามโคก” “ความผิดพลาด” ในอดีต ปัญหา “โรคซึมเศร้า” และเป้าหมาย “ป.โท สตรีศึกษา”

ถ้าพูดถึงนางแบบสายเซ็กซี่ของประเทศไทย เชื่อว่าชื่อของ “เชอรี่-ลฎาภา รัชตะอมรโชติ” หรือ “เชอรี่ สามโคก” ต้องผุดขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ

แต่กว่าจะมาเป็น “เชอรี่ สามโคก” ดังเช่นทุกวันนี้ เจ้าตัวต้องผ่านประสบการณ์โหดร้ายมาไม่น้อย

อดีตสาวอักษรฯ เอกประวัติศาสตร์ จากรั้วศิลปากร ที่ครั้งหนึ่งเคยเกือบได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอิหร่าน แต่เพราะสภาวะสงครามที่ตะวันออกกลาง ณ ขณะนั้น ทำให้เชอรี่พลาดโอกาสที่ได้รับการหยิบยื่นไปอย่างน่าเสียดาย

ก่อนจะกลายมาเป็นที่รู้จักในฐานะนางแบบเซ็กซี่ พร้อมภาพโป๊ที่หลุดออกมาทำร้ายเธอตลอดระยะเวลา 15 ปี

เชอรี่เล่าด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงประสบการณ์ความผิดพลาด ที่ทำให้ชีวิตและภาพลักษณ์ของเธอกลายเป็นสาวเซ็กซี่ไฟแรงสูงในสายตาคนอื่น

“ถ้ามองว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาด เชอรี่ให้เป็นเรื่องของการถ่ายรูปโป๊และมีคลิปโป๊รุนแรง อันนั้นคือเป็นจุดเริ่มต้นที่คนรู้จักแต่ก็แรงเลย อันนั้นถือว่าเป็นความผิดพลาด เพราะว่างานนั้นเชอรี่ทำงานที่เกินลิมิตตัวเองจะรับไหว ด้วยภาวะจำยอม เพราะอันนั้นเป็นงานที่ย้อนไปเกือบ 15 ปี ตอนที่อายุประมาณ 20 ต้นๆ

“ที่บอกว่าเป็นความผิดพลาดเพราะว่าเราไปทำงานนั้นแล้วโมเดลลิ่งไม่ได้บอกชัดเจนหมด ที่มันเป็นความผิดพลาดก็เพราะว่าเราได้เซ็นสัญญาก่อนที่จะไปถ่ายทำ คือไปถ่ายทำที่ต่างจังหวัด ตอนก่อนจะไปเขาก็เอาสัญญามาให้เราเซ็นแล้ว แต่ว่ามันเป็นภาษาอังกฤษ

“ถามว่าเราอ่านภาษาอังกฤษได้ไหม ได้หมด แต่ตัวเล็กๆ มักง่ายค่ะ พูดเลยว่ามันเป็นความมักง่ายของตัวเอง ก็ไม่อ่าน ก็โมเดลลิ่งบอก แล้วก็เซ็นๆ ไป ไม่คิดว่าจะมีอะไร บอกว่าเหมือนที่เคยๆ ทำมา เราก็เลยไม่ได้คิดอะไร

“แล้วก็ด้วยความที่มั่นใจในตัวเอง คือเราพูดกันทั่วไป ก็รู้แหละ โลกมีคนดี คนไม่ดี โลกมีสิ่งเลวร้าย สิ่งดี แต่พอเราไม่ได้ไปอยู่ในสถานการณ์ที่เจอกับคนที่ไม่ดีจริงๆ หรือสิ่งที่เลวร้ายจริงๆ เราอาจจะคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราหรอ

“หลายๆ คนก็มาบอกว่า เห้ย! ทำอย่างอื่นก็ได้นี่ ไม่เห็นจะต้องยอมทำเลย บางคนบอกว่าฉันยอมตายดีกว่าที่จะทำแบบนั้น แต่ตอนนั้นเชอไม่อยากตาย”

ความผิดพลาดในครั้งนั้นส่งผลกระทบกับชีวิต “เชอรี่ สามโคก” เป็นอย่างมาก ทั้งรูปโป๊ที่ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมคำด่าหยาบคายที่ลามไปถึงบุพการี แต่โชคดีที่คุณแม่ของเธอเข้าใจและพร้อมเคียงข้างลูกสาวเสมอ

“เชอรี่พูดกับแม่เรื่องนี้ครั้งเดียว ไปบอกกับเขาว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะ มีรูปหลุดอย่างนี้ เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ หนูขอโทษ แม่เขาก็บอกว่าสำหรับแม่ ไม่มีแม่คนไหนหรอกชอบเห็นรูปโป๊ขนาดนี้ แม่ก็ว่ามันโป๊ไป แม่ก็หัวสมัยใหม่นะ ถ้าหนูใส่ชุดว่ายน้ำ แม่ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่มันโป๊อย่างนี้ มันก็โป๊ไปเนอะ

“แต่แม่ให้ลูกเลือกชีวิตเอง สิ่งเดียวที่แม่เป็นห่วงก็คือว่าหนูต้องรับทุกอย่างเลยกับสิ่งที่หนูทำ หนูจะไหวไหม แต่ถ้าไม่ไหวกลับมาหาแม่นะ แม่เปย์เอง”

เชอรี่ยอมรับอย่างเต็มปากว่าภาพโป๊ ภาพเปลือยเป็นความผิดพลาดที่เจ้าตัวไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นหนังอีโรติก เจ้าตัวยอมรับว่านั่นคือความตั้งใจที่จะทำ เพราะความฝันตั้งแต่จำความได้คืออยากเป็น “นักแสดง”

แม้จะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น เมื่อนิยามคำว่า “หนังอีโรติก” ของเธอ ไม่ได้สอดคล้องกับความหมายที่คนอื่นๆ ตระหนักรู้

“เชอรี่ไม่ค่อยได้โอกาสทางการแสดงเยอะเพราะรูปหลุดที่ผ่านมา…แล้วหนังอีโรติกติดต่อมา เชอรี่มองว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้แสดง ฝันมาแต่เด็กว่าอยากจะเป็นนักแสดง แต่อาจจะเป็นความเข้าใจไปเอง พอเล่นมาปุ๊บก็ได้เรียนรู้จริงๆ ว่า เขาไม่ได้ต้องการการแสดงที่ดีมาก

“เราคิดว่าการแสดงเป็นส่วนหลัก และอีโรติกเป็นส่วนประกอบ อันนี้คิดเอง แต่ในเรื่องจริงที่เราได้เรียนรู้คือมันไม่ใช่ การแสดงเป็นแค่พริกไทย แต่อีโรติกมันคือเนื้อหลัก เพราะบางทีเล่นฉากเลิฟซีนแค่ครั้งเดียว เขาตัดใส่สามสี่ที่เลย ประมาณว่าเนื้อเรื่อง 70% คืออีโรติก 30% คือเป็นบทเดินไปเดินมา

“ทุกวันนี้เชอรี่ไม่ได้มองว่ามันเป็นความผิดพลาด อย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะได้รับบทหลากหลาย”

เรื่องราวแสนเจ็บปวดในอดีตทำให้ชีวิตของเชอรี่ถึงจุดวิกฤต เธอเกิดอาการแพนิค ไม่กล้าสู้หน้าคนจนต้องขังตัวเองอยู่ในบ้านเป็นเดือนๆ โชคดีที่มีหนังสือเป็นเพื่อนพอให้ชีวิตผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน

รวมถึงการเผชิญ “โรคซึมเศร้า” จนคิดสั้นฆ่าตัวตาย ที่เจ้าตัวยอมเปิดปากเล่าให้ฟังเป็นครั้งแรก

“เชอรี่ไม่เคยเล่าอย่างจริงจังที่ไหนว่าเชอรี่ก็เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเหมือนกัน ปีที่แล้วมีอาการหนักมาก มันน่ากลัวและมันทรมานมาก ปีที่แล้วผ่านอาการดิ่ง ที่ถามว่าเคยคิดฆ่าตัวตายหรือเปล่า เคยค่ะ และได้ทำแล้ว แต่ไม่สำเร็จเมื่อปีที่แล้ว

“มันไม่เหมือนในหนังนะ เพราะอย่างที่บอกว่ามันเป็นโรค มันไม่เหมือนในหนังหรือมันเกินกว่าความเข้าใจของคนปกติทั่วไปเลย

“ที่รู้ตัวว่าตัวเองหนักมากก็เพราะว่าตื่นมาแล้วรู้สึกว่างเปล่า ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าโลกหยุดหมุน ขณะที่ทุกคนก็เดินไปเดินมาเหมือนปกติ แต่เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันหยุดนิ่ง สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือเราต้องจบการเคลื่อนไหวตัวเอง…

“เรารู้สึกเราว่าไม่อยากเอาแล้ว เราไม่อยากจัดการแล้ว คนจะบูลลี่ คนจะด่า เราไม่อยากพิสูจน์ตัวเองกับใครทั้งนั้น เราเหนื่อย เราไม่รู้ว่ามันต้องอะไรหนักหนา…

“โอเคสิ่งที่ทำมันไม่ถูก มันไม่ดี แต่มันต้องโดนด่า 15 ปีเลยหรอ? เพราะฉะนั้น ถ้าเชอรี่ไม่อยากจะโดนด่าหรือว่าเชออยากจะจบเรื่องนี้ มีคนบอกเปลี่ยนภาพลักษณ์ดิ แน่ใจนะ ถ้าวันนี้เชอรี่ลุกขึ้นไปบวชแล้วรูปในอดีตจะไม่ถูกแชร์?…

“แต่คนที่ช่วยเชอรี่ก็ยังเป็นแม่เชออยู่ดี เคยเล่าแล้วว่าแม่โทร.มาในจังหวะพอดีวันที่จะไปฆ่าตัวตาย แล้วไม่ได้เป็นเซนส์แบบในหนัง ว่าแม่มีเซนส์ โทร.มาให้สติเรา แม่แค่โทร.มาให้เราช่วยเลือกร้านสักคิ้ว แต่เราเหมือนได้สติเอง ว่าตายไม่ได้นะ ต้องช่วยแม่เลือกร้านสักคิ้ว

“ผู้ให้ชีวิตและผู้ช่วยชีวิตก็คือแม่ พอจากวันนั้นมา เราก็ได้มารู้ตัวเอง ก็เลยไปหาหมอ”

เมื่อถามว่าชีวิตนี้เคยคิดอยากเลิกเซ็กซี่ไหม? เชอรี่บอกเป็นคำถามที่ตอบยากมาก เหมือนต้องยืนอยู่ตรงทางแยกอีกครั้ง ว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา จะหยุดหรือจะยังทำต่อไป

แต่สิ่งหนึ่งที่เธอตั้งใจ คิด และวางแผนไว้แล้วก็คือ “การเรียนต่อปริญญาโท”

“มีอย่างหนึ่งที่เชอรี่มีแพลนทำแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะเปลี่ยนชีวิตเชอรี่หรือเปล่า? เชอรี่อยากจะเรียนปริญญาโทค่ะ อยากเรียนมาตั้งนานแล้ว แพลนว่าปีหน้าจะต้องเรียนสักที มันนานมากแล้วที่ไม่ได้เรียน

“คณะ สาขาที่จะเรียน คือ สตรีศึกษาของ ม.ธรรมศาสตร์ ศึกษาเฟมินิสต์เลย ตอนนี้ยังไม่ได้แขวนเต้า แต่มันมีความรู้สึกมากรุ่นๆ ว่าบางทีมันก็เซ็งนะกับการเป็น “วัตถุทางเพศ” มาตั้งนาน แล้วมันไม่ใช่ใครทำเราด้วย เรานี่แหละเอาตัวเองเข้าไปวางอยู่ตรงนั้น…

“เราก็เลยอยากเรียนสตรีศึกษา เราอาจจะเอาเรื่องของเรา ที่เราเจอมา ไปทำวิทยานิพนธ์ ไปเขียนบทความ ถามว่ามันได้อะไร? บางทีงานของเชอรี่อาจจะสะท้อนให้อะไรกับสังคมบ้าง บางทีงานของเชอรี่อาจจะทำให้เกิดจุดเปลี่ยน จุดเข้าใจอะไรบ้าง…

“ซึ่งไม่รู้เวลาที่เรียนหรือสนใจอะไรมากๆ เราจะอินแล้วเปลี่ยนใจไม่อยากที่จะเซ็กซี่อีกเลยหรือเปล่า? ตอบไม่ได้ต้องเรียนก่อน”

นอกจากความใฝ่ฝันอยากศึกษาต่อ ความสุขของเชอรี่ในทุกวันนี้ คือการมีสุขภาพจิตที่ดี ได้เลี้ยงแมว นั่งดูบอล รวมไปถึงได้รับงานแปลซับไตเติลภาพยนตร์ที่เจ้าตัวทำมานานหลายปีแล้ว

เหนือสิ่งอื่นใด เชอรี่ยังปรารถนาจะยืนอยู่ในวงการบันเทิง ด้วยฐานะ “นักแสดง” จริงๆ สักครั้ง แต่ถ้าความปรารถนานี้ไม่เกิดขึ้นจริง เธอก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร เพราะที่ผ่านมา ได้มีโอกาสทำอะไรหลายอย่างมากกว่าคนอื่นๆ ตั้งมากมาย

“มันไม่ได้ผิดที่จะรอ เพราะว่าถ้าเราทิ้งความฝันของตัวเอง เราก็ไม่เหลืออะไรเลย” คือประโยคทิ้งท้ายสั้นๆ อันหนักแน่นของผู้หญิงชื่อ “เชอรี่ สามโคก”