การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ในชีพจรของฉัน

“มีความสุขจริงๆ!”

พี่ชุนยิ้มย่องผ่องใส มือยังกำสตางค์ปึกหนึ่งเอาไว้ มีทั้งใบแดงใบเขียว และใบที่มีตัวเลข 500 อีกหลายใบ ในเสื้อแจ๊กเก็ตยีนส์กับกางเกงสีเดียวกัน หน้าขาวดูเบิกบานกว่าวันอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวเราไปกาดหลวงกันสักหน่อยนะ”

ฉันเพียงพยักหน้า ไม่มีความเห็น ในชีวิตที่ “อยู่ด้วยกัน” การมีคำถามน้อยลงทำให้ฉันค่อยๆ สงบลงเช่นกัน

เราอยู่ด้วยกันเกือบตลอดวันตลอดคืน เพราะออกจากที่พักก็ไปทำงานด้วยกัน แม้พี่ชุนจะประจำอยู่หน้าบาร์ และฉันเป็นพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่ง แต่กระนั้น สายตาก็มองเห็นกันอยู่เสมอ ใครๆ ในที่แห่งนั้นก็รับรู้ความสัมพันธ์ของเรา

มันเป็นอีกโลกที่แตกต่างออกไป…ฉันยังบอกไม่ถูกว่า มัน “ดี” หรือไม่ แต่ตราบเท่าที่ฉันยังตื่นมาหายใจ โดยไม่รู้สึกอยากหลับใหลไปยาวๆ อีก…ก็คงจะดีพอ

 

กาดหลวงหรือตลาดวโรรสยังคงพลุกพล่านเหมือนทุกวัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยามเราจูงแขนกันเดินเร็วๆ แซงรถแซงคน ข้ามถนนไปหาแผงร้านค้าที่ตั้งเรียงราย

อิ่มข้าวอิ่มน้ำแล้วเต็มที่ ซ้ำหลับอิ่มดี เป็นวันหยุดของเราทั้งคู่อยู่แล้ว ในกระเป๋าก็มีสตางค์ปึกหนา ฉันแน่ใจอย่างยิ่งว่า จะเป็นอีกวันที่เราสอง “มีความสุข” ด้วยกัน

แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตชาติหมา ดังว่าตัวฉันเองเกิดมาพร้อมกับคำสาปบางอย่าง จังหวะที่เรากำลังจะข้ามถนนอีกเส้น ฉันก็มองเห็นหนึ่งใบหน้า

…ชาวูบ แทบจะขาแข็งอยู่ตรงนั้น

เพียงแวบเดียวที่ลมพัดเส้นผมนั่นปลิวระไหล่ และเปิดให้เห็นดวงตาที่มองมาเห็นฉันเหมือนกัน

…อัมพร

 

“เฮ้!”

เสียงที่เคยฝังอยู่ในโสตประสาทแบบไหน ยังไม่เปลี่ยนจากเดิมสักนิดเดียว ต่างเพียงร่างที่เคยปราดเปรียว กลับเพรียวระหงยิ่งขึ้น อกเป็นอก เอวเป็นเอว ปากแดงสีสด สวมเสื้อรัดอกติ้ว กางเกงยีนส์ขาสอบ ข้อแขนมีกำไลหลายวง ส่งเสียงกระทบกันอยู่กรุ๋งกริ๋ง

กลับเป็นฉัน…ที่พูดไม่ออก ร่างกายกลายเป็นหินผาไปตั้งแต่เมื่อไหร่

อย่างเร็วรี่ สิ่งที่คิดว่าตัวเองลืมไปหมดสิ้นหวนกลับมาราวพายุ

…ความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้นชิงชัง…กระทั่ง ทั้งหมดกลายเป็นความเยียบเย็นในชั่วพริบตา และพาฉันตกหล่นลิ่วลงไป

ฉันตกลงไป ทั้งๆ ที่แวดล้อมด้วยแดดจ้า

“…พี่!”

ใบหน้าของอีชาติหมาส่งยิ้มมาอย่างดีใจเหลือแสน ราวว่าเราเป็นพี่น้องที่เคยพลัดพรากจากกัน

“โอ้ย! ดีใจที่ได้เจอ เธอไปอยู่ที่ไหนมา!”

พี่ชุนมองดูอัมพร ถามขึ้น

“ใครหรือน้อง”

ฉันกัดปาก…นั่นสิ…ใคร อีชาติหมาตอแหลคนนี้คือใคร

“…อ้ะ!” นังงูพิษเหลียวหาคนหน้าขาว ทำท่าเหมือนจะออกปากถาม แต่แล้วก็ยืนนิ่งยิ้มอยู่

หล่อนรู้…รู้ว่าอะไรคืออะไร เพราะตากวาดดูมือฉันในมือของพี่ชุน…แล้วทำยิ้มอีก

“แฟนกันเหรอ” ปากปีศาจถามเอาดื้อๆ และนั่นทำให้พี่ชุนผ่อนคลายลงทันที

พยักหน้ารับ

“ฮะ…”

“นี่ไหมค่ะ…อ้ะ อู้เมือง หรืออู้ไทย”

นั่นยังไง นังอัมพรเริ่มความตอแหลของหล่อนอีกครั้งแล้ว

“คนเมืองนี่แหละ อู้เมืองก็ได้”

“โอ้ย! ยินดีนักเจ้า!”

ในแดดจ้า ท่ามเสียงรถ เสียงคน และสีสันของสินค้าละลานตา พี่ชุนโอบไหล่ฉันไว้หลวมๆ โอภาปราศรัยอยู่กับอีชาติหมา แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งพูดกันนานไป อัมพรยิ่งทำให้พี่ชุนประทับใจขึ้นเรื่อยๆ

 

หล่อนใส่ความซื่อใสในดวงตาไม่ยั้ง เช่นเดียวกับเรื่องราวมากมายพรั่งพรูออกมา บางประโยคลดเสียงลงกระซิบกระซาบ ภาพที่ใครๆ มองมาคือคนสองคนกำลังยืนคุยกันอย่างออกรสชาติ

จนฉันได้ยินเสียงของนังปีศาจอีกว่า

“พี่อยู่กันตรงไหน เอาไว้จะไปหา โอ้ย! ดีใจๆ ได้เจอกัน ดีใจได้รู้จักพี่ด้วย”

พี่ชุนบอกที่อยู่และที่ทำงานไปทันที

“นี่ใหม่มาช่วยแฟนค้าขาย” หล่อนบุ้ยมือไปทางร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง…ซึ่งมีลูกจ้างอีกสองสามคนอยู่ด้านหน้า

หูฉันฟังไม่ผิดว่า หล่อนแทนตัวเองด้วยชื่อใหม่

“แต่งงานแล้วหรือฮะ” พี่ชุนถาม

“ค่ะ…ก็…ตามใจผู้ใหญ่น่ะ” แววตาที่ฉันรู้จักดีหวนกลับมา หล่อนเปลี่ยนแสงในดวงตาได้แนบเนียนเสมอ “ทำยังไงได้…บางทีก็ไม่มีทางเลือกนักหรอก”

“งั้นไว้ไปคุยกันอีก” พี่ชุนเสียงอ่อนทันที “ถ้าวันธรรมดาไปหาที่ห้องก็ได้ น้องจันทร์เสี้ยวก็จะได้ไม่เหงาอีก มาเจอเพื่อนอย่างนี้”

“จันทร์เสี้ยว?” อัมพรเหลียวหาฉันทันที และยิ้มอย่างรู้ทัน ซึ่งมีเพียงฉันเข้าใจความหมาย

“เกือบลืมไปแล้วสิว่าชื่อเก่าอะไร…แต่ขอเรียกว่าพี่อย่างเก่านะ”

 

เดินห่างกันออกมาจากจุดนั้นแล้ว จนกระทั่งอัมพรกลายเป็นจุดสีเล็กๆ ท่ามกลางสิ่งของมากมาย แต่ฉันยังรู้สึกเหมือนมีแผ่นดินไหวสะเทือนอยู่

ไม่รู้…ไม่รู้จะควบคุมตัวเองได้ยังไง ตลอดเวลาที่พี่ชุนพูดคุยกับนังงูพิษอย่างชอบพอยินดี ใจฉันมีแต่ความคิดพลุ่งพล่าน

หนึ่ง…ถ้าจะกระแทกกำปั้นเข้าหน้าสวยๆ นั้นสักที

สอง…หรือจะตะโกนด่าให้สุดเสียง

สาม…หรือจะถาม…ถามให้สิ้นความค้างคาใจ…หล่อนทำกับฉันได้ยังไง

…ทำได้ยังไง

…มึงทำกับกูได้ยังไง

 

[ฉันเคยยืนอยู่กลางห้อง มองดูรอบตัว

แสงสว่างยังพอมีในยามที่เราเปิดประตู แต่พอหล่อนเอื้อมไปดึงบานหับ ก็เหลือเพียงความสลัวราง พอดูออกว่ามีเตียงเล็กๆ หนึ่งหลัง โต๊ะกับเก้าอี้หนึ่งชุด กรอบรูปแขวนติดฝาสองสามใบ แต่ยังดูไม่ชัดว่าเป็นรูปอะไรบ้าง

เสียงเตียงลั่นเบาๆ คราวหล่อนหย่อนก้นลง แล้วยื่นมือออกมา ราวกับว่ารอให้ฉันโถมตัวเข้าไป ฉันได้ยินเสียงตัวเองกระซิบในหัวว่า “ไม่” แต่สิ่งที่เกิด กลับเป็นรอยยิ้มในสายตา พร่าเลือนระหว่างคนรู้จักเก่ากับคนที่มาพบกันใหม่…แต่ฉันก็ย่างเข้าไปหาอ้อมตักนั้น ตัวสั่นกับฝ่ามือที่ลูบหลัง

“…เธอจะทำไม”

“หยุดปากหน่อยดีมั้ย” คำพูดยังฟังหยาบหูเหมือนเคย

“กูอยากเอามึง เข้าใจหรือยัง”

 

มีถ้อยคำปฏิเสธอีกมากมายแล่นพล่านอยู่ในห้วงสำนึก แต่ทั้งหมดนั้น แค่เหมือนแรงดันอยู่ในเส้นเลือดไหลเวียน สิ่งที่หลุดพ้นออกมาแค่เสียงแผ่วเบา

“…อย่าทำ”

“ทำไมล่ะ?…มึงอยาก กูรู้”

“…ฉันไม่…”

หล่อนไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน…หรือมันเป็นเพียงธรรมชาติของคนสัปปะลี้ชาติหมา

รู้สึกเหมือนตัวเองจะแตกดับไปกับสิ่งที่ถูกขุดค้นขึ้น ฝนคงจะกระหน่ำหนักอย่างยาวนาน…เนิ่นนาน กับการที่ฉันได้ยินแต่เสียงหล่อนกับตัวเอง

มีลมพัดแรงมากขึ้น ฝนซัดขอบหน้าต่างดังกราวๆ ขณะตัวฉันโยกโยนไปกับกลวิธีของปีศาจ

หล่อนช่างมีอำนาจในตัวเองอย่างเหลือล้น ยามจ้องหน้าฉันเมื่ออยู่บน หรือตอนรั้งเอาตัวฉันเข้าไปในอ้อมแขน สิ้นไร้ยางอาย อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะพบก็ได้พบ

“…กูชอบมึงเหลือเกิน อีพี่ มึงมันยั่วเก่งนัก”

“…ฉันไม่ได้ทำอะไร”

“มึงทำ”

…ฉันพยายามจะเรียกเอาสติตัวเองกลับมา ทว่า นั่นกลับทำให้หล่อนชะงัก และยิ้มหยัน

“…จำกูไว้นะ อีพี่”

นั่นไง และนั่นคือสิ่งที่หล่อนทำให้ฉันจำ

จนมีเสียงทุบประตูดังขึ้นในตอนสาย…

 

“ตื่นหรือยัง!”

แสงข้างนอกสาดเข้ามาจนเจิดจ้า หน้าช่องกรอบประตู อีกร่างยืนอยู่

“นอนขี้เซาเหมือนเดิมนะมึง…ข้าวของมึงอยู่ข้างหน้า ทำไมไม่รู้จักเก็บเข้ามา เปียกหมดแล้วมั้ง”

ฉันมองชะเง้อข้ามไหล่ กลั้นใจ หวังว่าจะเห็น…แต่ก็ไม่มีใครอีก

“…อัมพรล่ะ”

“ไม่ต้องพูดถึงมันอีก อีน้องชาติหมา! คนมันไม่รักดี อยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญหรอก อีน้องเนรคุณ!”]

 

หล่อนเป็นฝ่ายไปจากฉัน ไปง่ายๆ ในวันที่ฉันยังนอนหลับใหลอยู่ในความมืด คืนฝนตกยาวนาน

และเป็นหล่อน…เป็นมัน…ที่ทำให้ชีวิตฉันต่อจากนั้น ต้องพบอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย

แต่ในวันหนึ่ง…ในวันหนึ่ง…ซึ่งคือวันนี้ ยังมีหน้ามาถามว่า

“…เธอไปอยู่ที่ไหนมา…”

ปราศจากความละอาย ช่างหน้าด้านหน้าหนา ยังคงชั่วช้าสามานย์ใต้แววตาซื่อใส ถอดรองเท้าเอาตีนถูหน้าหล่อนบ้างคงยังน้อยไป

…แต่ทว่าทำไม…ทำไม กระแสไฟถึงยังรั่วอยู่ในชีพจรของฉัน