วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร /แผนลึก ชิงบัลลังก์ ต้าเหลียง (12)

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

แผนลึก ชิงบัลลังก์ ต้าเหลียง (12)

 

พลันที่เหมยฉางซูระบุว่า “สิ่งที่ข้าจะทำไม่มีแผนการล้ำเลิศอะไรจึงไม่อยากลากท่านเข้ามา เกิดพลาดพลั้ง ความภักดีหลายยุคสมัยของตระกูลเหมิงเกรงว่าจะพังทลายในชั่วข้ามคืน”

คำตอบจากเหมิงจื้อแจ่มชัดอย่างยิ่ง

“ภักดีอยู่ที่ใจหาใช่ที่ชื่อเสียง ขอแค่ท่านไม่ทำอันตรายองค์จักรพรรดิโดยตรงก็ไม่มีวันเป็นศัตรูข้าตลอดกาล”

เป็นความแจ่มชัดจากสถานะอันเป็น “ราชองครักษ์”

“องค์จักรพรรดิน่ะหรือ เปรียบไปก็เหมือนดาบเล่มหนึ่ง จะฆ่าจะแกงใครล้วนพึ่งพาพระองค์” เหมยฉางซูผุดรอยยิ้มรู้ทันที่มุมปาก

“ดูท่าท่านคงคาดเดาจุดมุ่งหมายที่ข้ามาเมืองหลวงได้ตั้งแต่แรกแล้ว”

“ใช่ ข้าคิดว่าข้าพอเดาได้” แววตาเหมิงจื้ออาบล้นด้วยความวิตก “แต่รัชทายาทกับอวี้หวังท่านกำจัดคนใดคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก แต่กำจัดพร้อมกันทั้ง 2 คนกลับไม่ง่าย ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องทรงเก็บไว้องค์หนึ่ง”

“นั่นก็ไม่แน่” เหมยฉางซูยิ้มหยัน “องค์จักรพรรดิใช่ว่าจะมีโอรสแค่ 2 องค์”

เหมิงจื้อตื่นตะลึงเล็กน้อย คล้ายไม่เคยคาดคิดมาก่อนถึงความเป็นไปได้ที่จะมีคนอื่นสืบทอดราชบัลลังก์นอกจากรัชทายาทกับอวี้หวัง

 

อย่าได้แปลกใจหากคำถามอันหลุดออกจากปากของเหมิงจื้อจะเป็น “ท่าน หมายความว่า ท่านจะสนับสนุนจิ้งหวังหรือ”

“หรือไม่ได้” เป็นคำถามจากเหมยฉางซู

“ข้ารู้ว่าท่านกับจิ้งหวังสนิทสนมกันดี ข้าก็มิได้ดูแคลนความสามารถของเขา กล่าวตามสัตย์ คุณสมบัติทางลบหลายประการของเขาไม่นับเป็นอะไร

ก็แค่มารดาต่ำต้อย ไม่เป็นที่โปรดปรานเท่านั้นเอง

สิ่งเหล่านี้ต่อไปสร้างผลงานให้ดีก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่สำคัญที่สุดคือ จิ้งหวังไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยม ทั้งรังเกียจการแก่งแย่งอำนาจ แล้วเรื่องการช่วงชิงบัลลังก์ซึ่งมีความเสี่ยงปานนี้ ด้วยอุปนิสัยของเขาไหนเลยรบรากับรัชทายาทและอวี้หวังที่อำมหิตไม่เลือกวิธีการ ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยกำลังหนุนได้”

เหมยฉางซูเปิดฝากาน้ำชาเล่น สีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ

“ไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมแล้วจะเป็นไร มิใช่ยังมีข้าหรอกหรือ งานที่สกปรกแปดเปื้อนคาวเลือดก็ให้เป็นหน้าที่ของข้า เพื่อโค่นล้มคนที่ก่อกรรมทำชั่ว ต่อให้ข้าต้องเอามีดปักอกผู้บริสุทธิ์ก็ยินดีกระทำ แม้ว่าข้าจะเสียใจเช่นกัน แต่เมื่อคนผู้หนึ่งเคยทุกข์ทรมานจนทะลุขีดจำกัดสูงสุด ความเสียใจระดับนี้ยังคงสามารถกล้ำกลืนได้”

คำพูดแม้เหี้ยมโหดแต่กลับแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าและเจ็บช้ำซึ่งไม่อาจปกปิดชนิดหนึ่ง

 

ได้ยินดังนั้นเหมิงจื้อจ้องมองไปยังใบหน้าเหมยฉางซูแน่วนิ่ง จู่ๆ ความรู้สึกปวดร้าวยากทานทนก็ผุดขึ้นมากลางใจระลอกแล้วระลอกเล่า

ครึ่งค่อนวันค่อยถอนหายใจออกมาคำหนึ่งถามเบาๆ ว่า “แล้วจิ้งหวังยอมรับปากหรือไม่”

“ทำไมจะไม่ยอมเล่า ความเกลียดชังที่เขามีต่อรัชทายาทและอวี้หวังไม่น้อยไปกว่าข้า ยิ่งกว่านั้นยังมีตำแหน่งจักรพรรดิรอคอยอยู่เบื้องหน้าอีกด้วย พลานุภาพดึงดูดของตำแหน่งจักรพรรดิช่างยิ่งใหญ่มหาศาล มีไม่กี่คนหรอกที่สามารถต้านทานได้

“แม้แต่จิ้งเหยียนก็เช่นกัน”

“นี่เป็นไปไม่ได้” เหมิงจื้อตบโต๊ะฉาด “เขาเกลียดชังการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น หรือท่านเกิดมาก็ชื่นชอบแล้ว จิ้งหวังเปลี่ยนเป็นคนโหดเหี้ยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน หรือเขาไม่รู้จักเป็นห่วงท่านบ้าง”

“พี่เหมิง” เหมยฉางซูยิ้มชืด

“ท่านลืมแล้วหรือ จิ้งเหยียนไม่รู้ว่าเป็นข้า ข้าได้ตายไปแล้ว ข้าได้กลายเป็นรอยแผลกรีดลึกในใจเขาไปแล้ว คนที่บีบคั้นและล่อลวงให้เขาเหยียบย่างสู่เส้นทางการช่วงชิงบัลลังก์ก็แค่คนแปลกหน้าที่ชื่อซูเจ๋อคนหนึ่งเท่านั้น เขามีอะไรต้องเป็นห่วง”

“อา” เหมิงจื้ออุทานคำหนึ่ง

“จริงด้วย เขาไม่รู้ แต่วันนี้พวกท่านไม่ใช่พบหน้ากันแล้วหรือ ท่านไม่ได้บอกเขาหรือ และเขาก็จำท่านไม่ได้หรือ”

“เพราะอะไรต้องบอกเขา” เหมยฉางซูสีหน้าขาวซีดปานหิมะ แววตาเยือกเย็นถึงที่สุด

“ไม่ว่าจะเคยเป็นสหายที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาสักปานใด คนที่หลุดขึ้นมจากนรกอเวจีล้วนเปลี่ยนเป็นปีศาจร้ายทั้งนั้น ไม่เพียงเขาจดจำไม่ได้ แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังจำตัวเองไม่ได้เลย”

นี่คือความขมขื่น ขมขื่นอย่างลึกซึ้ง

 

เหมิงจื้อมองดูเหมยฉางซู 2 มือกำแน่นจนข้อนิ้วโปนขาว หมายขจัดความรู้สึกรวดร้าวประหนึ่งทรวงอกถูกฉีกขาดจากกัน

นึกถึงภาพตอนที่เขาอายุ 17

รอยยิ้มเจิดจ้า สว่างไสว บนใบหน้าแดงซ่านปานผลผิงกั๋ว (แอปเปิล) ในยามที่แยกจากกัน 12 ปีผ่านไปดั่งสายน้ำ

หวนนึกถึงอดีต กลับคล้ายเป็นชาติปางก่อน