E-DUANG : ยืมหอกสนองคืน ในแนวทาง”ปรองดอง”

แฟ้มภาพ-พล.อ.ประวิต

ยิ่งวันกระบวนการ“ปรองดอง”จะยิ่งดำเนินไปในพรมแดนแห่งกระบวนท่าอันเป็นบทสรุปของท่านม่อย้งแห่งแคว้นกังหนำ

นั่นก็คือ “ยืมหอกสนองคืน”

เพราะภายใน “โครงสร้าง” ที่จะต้องกำหนดขึ้นให้เป็น “วาระ” เป็นโครงสร้างที่จะต้องจำแนก แจกแจง

ไม่ว่าจะเป็น “คู่กรณี” หรือไม่ก็ตาม

เพียง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มอบหมายให้บรรดาแม่ทัพ นายกองออกมาเล่นบทเป็น “คณะกรรมการ”

ก็มีข้อสังเกตแผ่วเบาว่ามากด้วย”สีเขียว”

ไม่ว่าจะมาจากคนที่ชมชอบในการสวม “เสื้อเหลือง” ไม่ว่าจะมาจากคนที่ชมชอบในการสวม “เสื้อแดง”

ทั้งๆที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวตามความเคยชิน

เพราะว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะว่าเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับงานด้าน “ความมั่นคง” ย่อมคุ้นชินกับยูนิฟอร์ม”สีเขียว”เป็นพิเศษ

แต่ก็กลายเป็นเรื่องกระทั่งอยู่ในภาวะ”งันชะงัก”

 

จากกลางเดือนมกราคม เหยียบบาทก้าวผ่านปลายเดือนแล้วก็เข้าสู่บรรยากาศของเดือนกุมภาพันธ์

เดือนแห่งความรัก เดือนแห่งเซนต์ วาเลนไทน์

แต่พลันที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันว่าจะไม่ปลดล็อก”พรรคการเมือง”อย่างเด็ดขาด

อาการอื้ดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยวก็บังเกิด

เพราะในความเข้าใจโดยพื้นฐานไม่ว่าจะมาจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะมาจาก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ก่อนจะเข้าสู่ “ปรองดอง”ควรจะดำเนินไปด้วยภาษาทางการทูตที่ว่า

“สันถวมิตร”อัน “สนิทสนม”

ทุกคนสามารถเปิด”หัวใจ”พูดถึงความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และองค์ประกอบ 1 ก็คือ สามารถประชุมและหารือร่วมกันได้

แต่เมื่อไม่ “ปลดล็อก” ก็เท่ากับเป็นการปิดประตูดังปัง

 

ถามว่าบรรยากาศแห่ง “ปรองดอง” คือบรรยากาศอย่างไรในทางการเมือง

คำตอบพื้นฐาน คือ บรรยากาศแห่ง”เสรีภาพ”

เพราะหากไม่มี “เสรีภาพ” เสียแล้ว ใครจะกล้าออกมาพูด ใครจะกล้าออกมาเสนอปัญหา

ต่างล้วนสวมใส่”หน้ากาก”เข้าหากัน

เมื่อแต่ละคนต่างมี “หน้ากาก” มาปิดบังใบหน้าอันแท้จริงเสียแล้ว “ปรองดอง”ก็เสมอเป็นเพียง”พิธีกรรม”

ดำเนินไปอย่าง”ลัทธิรูปแบบ”

การจะถอด “หน้ากาก” ออกจำเป็นต้องมอบ “เสรีภาพ”อย่างน้อยก็ระดับหนึ่งให้กับแต่ละฝ่าย

“เสรีภาพ”และ”ประชาธิปไตย”ต่างหากคือความจำเป็น

เว้นแต่จะมองเห็นว่า “ประชาธิปไตย”และ”เสรีภาพ” คือตัวปัญหาเท่านั้น