ผ่าคดีครูจอมทรัพย์ ผงะแก๊งรับจ้างติดคุก ลุ้นคำสั่งศาลไต่สวน สรุป “แพะ” หรือ “แกะ”

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ยังคงเป็นคดีที่รอการพิสูจน์จากศาล

สำหรับคดีครูจอมทรัพย์ ที่ตกเป็นจำเลยในคดีขับรถชนคนตายเมื่อปี 2548

ที่ต่อสู้ในชั้นศาลผ่านมา 3 ศาล จนกระทั่งศาลฎีกาพิพากษาจำคุก

แต่เมื่อพ้นโทษออกมา ครูจอมทรัพย์ ก็เดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรม โดยอ้างว่าไม่ใช่ผู้กระทำผิดตัวจริง

พร้อมเปิดตัว นายสับ วาปี บุรุษที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ขับรถชนตัวจริง

ท่ามกลางกระแสสังคมที่โจมตีกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะตำรวจ

กลับมีหลักฐานใหม่ ทั้งเรื่องรายละเอียดรถ และพิรุธคำให้การของนายสับ

ส่งผลให้เกิดคำถามอีกว่า ตกลงครูจอมทรัพย์ เป็น “แพะ” หรือ “แกะ” กันแน่

ครูรถชนอ้างแพะ-ร้องรื้อคดี

กรณีนี้ตกอยู่ในความรับรู้ของสังคม ก็เมื่อวันที่ 9 มกราคม นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร จำเลยที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อปี 2548 ถูกจำคุกปี 2556 และได้รับอภัยโทษมาเมื่อปี 2558

เดินทางมาที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อขอบคุณ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ นายนิธิต ภูริคุปต์ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังยื่นหนังสื่อให้ช่วยรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาพิจารณาใหม่

โดยนางจอมทรัพย์ เผยว่า เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2548 ได้รับหมายเรียกจาก สภ.นาโดน จ.นครพนม ว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 เวลา 20.00 น. ตนขับปิกอัพอีซูซุ สีเขียว รุ่นเคบีแซด ทะเบียน บค 56 สกลนคร เฉี่ยวชน นายเหลือ พ่อบำรุง ขณะปั่นจักรยาน เสียชีวิตริมถนน ต.โคกหินแฮ่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม

เมื่อได้รับหมายก็เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนทุกครั้ง และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากวันเกิดเหตุตนพักผ่อนอยู่กับสามีและครอบครัวที่บ้านใน จ.สกลนคร

แต่ตำรวจก็ยืนยันมีหลักฐานพร้อมส่งอัยการฟ้องศาล พิจารณากัน 3 ศาล จนถูกตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 และได้รับพระราชทานอภัยโทษออกจากเรือนจำเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2556 รวมถูกจำคุก 1 ปี 6 เดือนที่เรือนจำจังหวัดนครพนม

ทำให้ถูกไล่ออกจากข้าราชการครู จึงต้องการรื้อคดีเพื่อขอกลับเข้ารับราชการ

ต่อมามีพยานหลักฐานใหม่ ก็คือคำให้การของ นายสับ วาปี ชาวมุกดาหาร ที่รับสารภาพว่าเป็นผู้ขับรถชนผู้ตายเอง โดยระบุว่าคืนวันเกิดเหตุขับปิกอัพอีซูซุ สีเขียว รุ่นเคบีแซด ทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ขับชนคนตายแล้วหลบหนีไป

จากนั้นนำรถไปซ่อมและขายให้พ่อค้ารับซื้อของเก่าในราคา 2 หมื่นบาท เมื่อคดีถึงที่สุด จึงไปเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.นาโดน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 เพื่อเล่าความจริง และให้การสารภาพเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557

ประกอบกับพยานที่เห็นเหตุการณ์อีก 2 ปาก ที่ให้การตรงกันว่าคนขับรถคันดังกล่าวเป็นชายร่างท้วม

โดยศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาใหม่ โดยศาลจังหวัดนครพนมซึ่งเป็นศาลชั้นต้น นัดสอบคำให้การคดีในวันที่ 16 มกราคม

แต่เมื่อถึงเวลาพิจารณาคดี พยานที่ประกอบด้วยนายสับ และ นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานที่เห็นเหตุการณ์ ไม่ปรากฏตัวที่ศาล

ทำให้ต้องเลื่อนการไต่สวนเป็นวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์

ต้องลุ้นว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

นายสับ วาปี

 ย้อนดูคำพิพากษา 3 ศาล

สําหรับคดีนี้ศาลนครพนมมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2549 จำคุกนางจอมทรัพย์ ในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี ฐานไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่ไปแสดงตัวกับแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 2 เดือน

โดยพิเคราะห์จากคำให้การของพยานที่ระบุว่าให้นางจอมทรัพย์ยืมรถกระบะ ทะเบียน บค 56 สกลนคร ไปใช้ทำธุระ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 แต่เมื่อไปเอาคืนในวันที่ 12 มีนาคม 2548 พบร่องรอยขูดขีดที่กระโปรงรถด้านซ้ายอันเป็นรอยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เมื่อตรวจสอบพบสีเขียวที่บริเวณตะเกียบกับบังโคลนด้านหน้ารถจักรยานของผู้ตาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้ความเห็นว่าตรงกับกระบะที่ใช้เฉี่ยวชน

และจากคำให้การจำเลยขับรถแซงจักรยานยนต์ล้ำไปในช่องทางที่รถสวนมาโดยไม่ใช้ความระวัง ย่อมแสดงให้เห็นว่ารถยนต์คันดังกล่าวถูกขับมาด้วยความประมาทเลินเล่อ

ต่อมา ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กลับคำพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่ามีพยานเบิกความว่าเห็นคนขับเป็นผู้ชาย ซึ่งไม่ตรงกับจำเลยที่เป็นผู้หญิง

รอยชนด้านหน้าซ้ายของกระบะ หากเป็นการขับแซงไปชนจักรยานที่สวนมาก็น่าจะเป็นการชนด้านขวาของรถยนต์ อีกทั้งสีเขียวที่ติดจักรยานแสดงว่าถูกชนบริเวณแผ่นป้ายทะเบียน แต่ป้ายกลับไม่มีรอยบุบ

พยานหลักฐานโจทก์ยังมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะชนรถจักรยานที่ผู้ตายขับขี่หรือไม่ ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา จึงเห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

เมื่อไปถึงศาลฎีกา ศาลพิจารณากลับอีกครั้ง โดยให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา

โดยให้เห็นผลว่าโจกท์มีประจักษ์พยานที่จดจำหมายเลขทะเบียนรถกระบะได้ชัดเจนว่า บค 56 สกลนคร เมื่อนำรถให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ พบฝากระโปรงหน้าด้านซ้ายมีรอยครูด 2 ครั้ง มีทั้งใหม่และเก่า ใกล้กับโคมไฟมีลักษณะกระทบวัตถุที่มีน้ำหนักอ่อนนุ่มเช่นส่วนใดของร่างกายมนุษย์

เช่นเดียวกับรอยสีของรถกระบะที่ติดอยู่กับจักรยานที่ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าเป็นชนิดเดียวกับป้ายทะเบียน จึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนขับรถกระบะ ทะเบียน บค 56 สกลนคร ชนผู้ตายจริง

ที่จำเลยกล่าวอ้างว่าไม่ขับไปที่เกิดเหตุ ก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของจำเลยและญาติ ที่ง่ายแก่การกล่าวอ้าง และมีน้ำหนักน้อย

นี่คือคำพิพากษาทั้ง 3 ศาล

แฉแก๊งรับจ้างติดคุก-พิรุธอื้อ

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เรื่องราวของครูจอมทรัพย์ เปิดเผยขึ้น ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในชั้นพนักงานสอบสวน

ที่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกติดตะราง!??

จน ผบ.ตร. ต้องสั่งให้ พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ มาคุมคดีด้วยตัวเอง

และไม่ทันใด เจ้าหน้าที่พบพิรุธหลายต่อหลายอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นการพบขบวนการรับจ้างติดคุกแทน แถมทำเป็นขบวนการ 6-7 คน ซึ่งจากการสอบสวน พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะมุกดาธนพง อดีต ส.ว.มุกดาหาร ในฐานะพยาน ก็ระบุว่า เมื่อปี 2557 หลังศาลฎีกาพิพากษาแล้ว มีบุคคลมาติดต่อขอให้รับเป็นทนายโดยให้ค่าจ้าง 2-3 แสนบาท

แต่ก็ปฏิเสธไปเพราะคดีผ่านชั้นศาลฎีกาแล้ว

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า รถทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ที่นายสับ อ้างว่าเป็นคนขับชนนายเหลือ เมื่อปี 2548 นั้น ได้ขายไปตั้งแต่ปี 2547 ให้กับ นายอุบล ไชยบัน อายุ 64 ปี ชาวบ้านแก้ง ต.คำปลาหลาย อ.เมือง จ.มุกดาหาร

โดยนายอุบลยืนยันว่าซื้อรถคันดังกล่าวมาในราคา 33,000 บาทในปี 2547 มีชื่อนายสับเป็นเจ้าของ ซึ่งก็โอนลอยมา โดยไม่ได้ไปเปลี่ยนชื่อ

เมื่อได้มาก็เอาไปใช้บรรทุกอ้อย ปุ๋ย มันสำปะหลังภายในไร่ ใช้ไปได้ 3-4 ปี รถก็พัง ไม่คุ้มค่าซ่อม จึงจอดทิ้งไว้

จนกระทั่งปี 2551 มีพ่อค้าของเก่ามาเจอก็ติดต่อซื้อ จึงขายไปในราคา 15,000 บาท

พร้อมยืนยันว่าหลังจากที่ซื้อมาก็เอาไปใช้ในไร่ ไม่เคยขับไปไหนไกลๆ เพราะรถเก่ามาก จึงไม่รู้ว่ากลายเป็นคันที่ไปชนได้ยังไง

หลังจากนั้นก็มีคนมาติดต่อให้หาชิ้นส่วนและเอกสารเกี่ยวกับปิกอัพ บอกเอาไปช่วยเพื่อนที่ถูกจำคุกข้อหาชนคนตาย แต่ตนขายไปแล้ว ไม่รู้จะช่วยยังไง

และยังพบอีกว่านายสับเคยขึ้น สภ.เรณูนคร เมื่อปี 2556 แต่คราวนี้ในฐานะพยาน เพื่อระบุว่า นายเสริฐ รูปสะอาด เป็นคนซื้อรถจากตน และเป็นผู้ขับรถชนคนตาย

สุดท้ายนายเสริฐยืนยันว่าตัวเองถูกหลอก จะพาไปเที่ยว และหางานทำ แต่ที่ไหนได้ กลับพาไปโรงพัก

และตัวเองก็ขับรถไม่เป็นจึงไม่เคยขับไปชนใครอย่างแน่นอน

โดยทั้งหมดนี้มี นายสุริยา นวลเจริญ หรือ “ครูอ๋อง” เพื่อนของครูจอมทรัพย์ เป็นผู้พาไป

เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกเก็บไว้ในสำนวน เพื่อยื่นให้ศาลพิจารณาในการไต่สวนวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์นี้

เชื่อว่าในที่สุดความจริงก็จะปรากฏ