วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร/ เยื่อใย อันมีกับเมธีหลีฉง (9)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

เยื่อใย อันมีกับเมธีหลีฉง (9)

การที่รัชทายาทเซี่ยวจิ่งเซวียนกำนัลป้ายหยกให้แก่เหมยฉางซู ถือได้ว่าก้าวรุดหน้าไป 1 ก้าวใหญ่ ไหนเลย อวี้หวัง เซียวจิ่งหวน จะยอมตกเป็นรอง

เพราะป้ายหยกที่ประทานแม้ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับเฟยหลิว แต่ยังไงก็ถือว่ารับไว้แล้ว

“จริงด้วยพี่ซู” เป็นเซี่ยปี้เรียกขานขึ้นในลักษณะนำร่อง “ท่านมิใช่อยากไปไว้อาลัยอดีตสถานศึกษาของท่านผู้เฒ่าหลีฉงมาตลอดหรือ ข้าจำได้ว่าต้นฉบับบางส่วนที่เป็นลายมือผู้เฒ่า”

“อยู่ที่วังข้า อยู่ที่วังข้า” ย่อมเป็นเสียงเสริมรับจากอวี้หวัง

“ท่านผู้เฒ่าหลีเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งข้าให้ความเคารพมาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงสะสมผลงานต้นฉบับของท่านไว้หลายเล่ม หรือท่านซูก็—”

“ลูกศิษย์ลูกหาของท่านผู้เฒ่าหลีมีอยู่ทุกหย่อมย่าน” เซี่ยปี้รับลูกโดยฉับพลัน “พี่ซูก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าเรียนที่สถานศึกษาของท่านผู้เฒ่ามาก่อน”

“ช่างบังเอิญจริงๆ” อวี้หวังตบมือเบาๆ “ต่อไปยิ่งมีเรื่องให้สนทนาเพิ่มขึ้นอีก”

อุบายปลูกเรือนเอาใจผู้อยู่เช่นนี้ แม้แต่เหมยฉางซูยังอดประกายตาวูบไหวมิได้ เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “เป็นต้นฉบับเล่มใดบ้าง มี ‘บทวิเคราะห์นโยบายใช้คนไม่คลางแคลง’ หรือไม่”

“มี มี” เป็นการสำนองรับอย่างทันควันจากอวี้หวัง เซียวจิ่งหวน

 

การเป็นศิษย์ของท่านผู้เฒ่าหลีฉงอาจเป็นเรื่องจำเพาะ แต่หากใครย้อนกลับไปอ่านบทที่ 1 แรกเยือนนครหลวง มาถึงประตูเมือง รถม้าค่อยชะลอหยุดลง

เหมยฉางซูแหงนมองเหนือประตู

“ข้าอยากยืนที่นี่สักครู่ หลายปีไม่ได้มา คิดไม่ถึงว่าเมืองจินหลิงแทบมิได้เปลี่ยนแปลง หลังผ่านประตูเมืองคาดว่ายังคงเต็มไปด้วยภาพอันคึกคักกระมัง”

เซียวจิ่งรุ่ยประหลาดใจเล็กน้อย “หรือว่าก่อนนี้พี่ซูเคยมาจินหลิง”

“15 ปีก่อน ข้าเคยศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์หลีฉง นับแต่ท่านถูกปลดจากตำแหน่ง ข้าก็มิได้กลับมาอีก”

เหมยฉางซูถอนใจแผ่วเบาคราหนึ่ง ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง คล้ายต้องการขจัดภาพความฟุ้งเฟ้อออกไป “พอคิดถึงท่านอาจารย์ก็อดรู้สึกสลดใจกับเรื่องราวในอดีตมิได้ เลือนหายดั่งหมอกควัน แตกซ่านดังหยาดพิรุณ มิอาจหวนคืน”

ความรู้สึกนี้ ถ้อยรำพึงรำพันนี้มิได้มีแต่เซียวจิ่งรุ่ยเท่านั้นที่รับรู้ หากที่สำคัญเซี่ยปี้ยังซึมซับรับทราบด้วย

 

ท่วงทำนองนำร่อง สำนองตามระหว่างเซี่ยปี้กับอวี้หวัง เซียวจิ่งหวน เมื่อยืนยันว่ามีต้นฉบับ “บทวิเคราะห์นโยบายใช้คนไม่คลางแคลง” ของท่านหลีฉงแล้ว

ข้อเสนออันตามมาก็คือ

“อยู่ในหอสะสมตำราของข้าเอง หากท่านอยากชมดูก็มาที่วังข้าได้ทุกเมื่อ รับรองไม่มีใครกล้าขัดขวางการมาเยือนของท่านซูเด็ดขาด”

อวี้หวังไม่ออกปากว่าจะมอบหนังสือ หากเพี้ยงเชิญไปชมดู เห็นชัดว่านี่เป็นแค่เหยื่อล่อ

รัชทายาทเซี่ยวจิ่งเซวียนเห็นท่าแล้วรีบท้วงขึ้น “จิ่งหวน เจ้าออกจะใจคอคับแคบไปแล้ว แค่ต้นฉบับงานเขียนไม่กี่เล่ม ท่านซูในเมื่อชื่นชอบ เจ้าส่งเป็นของกำนัลก็ได้แล้ว ไยต้องให้ผู้อื่นไปเปิดอ่านถึงในบ้านเจ้า หรือถ้าตัดใจยกให้ไม่ลงหลายเล่มนั้นมีราคาค่างวดเท่าไรเจ้าเสนอราคามา ข้าจะจ่ายเงินซื้อให้ท่านซูเอง”

ถูกทิ่มตำเช่นนี้อวี้หวังได้แต่แก้เกี้ยว

“ข้าเกรงว่าท่านซูจะปฏิเสธไม่ยองรับไว้ ท่านซูหากไม่ถือสา แน่นอนว่าข้าจะนำมาส่งให้ทันที”

ได้ยินดังนั้น เหมยฉางซูยิ้มบางๆ “ในเมื่อเป็นของรักของหวงของอวี้อ๋อง ผู้แซ่ซูไหนเลยจะขวางดาบช่วงชิงได้”

“หามิได้ หามิได้” เป็นการแย้งจากอวี้หวัง

“ท่านซูเวลานี้ชื่อเสียงกระฉ่อน หากท่านผู้เฒ่าหลียังมีชีวิตอยู่ต้องนับท่านเป็นศิษย์เอกด้วยความภาคภูมิ ต้นฉบับงานเขียนของท่านได้กลับไปอยู่ในมือท่านซูนั่นถึงจะเหมาะสม”

อวี้หวัง ทางหนึ่งแสร้งเป็นใจกว้าง ทางหนึ่งก็อดกระทุ้งกลับรัชทายาทมิได้

“แต่ผู้น้องยังคงบังอาจกล่าวสักประโยคหนึ่ง คำพูดเมื่อครู่ของเสด็จพี่ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ต้นฉบับหลายเล่มนี้ในสายตาคนทั่วไปไม่นับเป็นอะไร แต่ในสายตาของผู้ที่เคารพยกย่องท่านผู้เฒ่าแล้วนับเป็นของล้ำค่าประเมินราคามิได้

เสด็จพี่กล่าวคำ ‘เสนอราคา’ ประเภทนี้ ท่านซูฟังแล้วคงปวดใจไม่น้อย”

 

ไห่เยี่ยนอธิบายว่า หลีฉง ปราชญ์เมธีท่านนี้นับเป็นปรมาจารย์แห่งยุค แม้ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์ของราชโอรส แต่ยังไม่ลืมจัดตั้งสถานศึกษานอกกำแพงวัง

ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านยากจน หรือผู้ดีมีสกุล

สามารถเข้ามารับการประสิทธิ์ประสาทวิชาจากเขาโดยไม่มีการแบ่งแยกทวี ปีนั้นไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับสร้างความระคายเคืองต่อเบื้องยุคลบาททำให้ถูกปลดจากตำแหน่งพระอาจารย์เป็นสามัญชน จำต้องหลีกลี้หนีห่างเมืองหลวงด้วยความขุ่นเคือง

สุดท้ายกลัดกลุ้มระทมทุกข์จนตาย