เผยโฉม “ฮอนด้า ซิตี้” ใหม่ โฉบเฉี่ยวขึ้น-ปลอดภัยได้อีก เริ่มต้นที่ 5.5 แสน!

“ฮอนด้า ซิตี้” เก๋งเล็ก 4 ประตูในกลุ่ม “ซิตี้คาร์” ซึ่งแท็กทีมกับคู่แฝด “แจ๊ซ” แบบ 5 ประตูทำตลาดในเมืองไทยมาหลายเจเนอเรชั่น ที่ผ่านมากวาดยอดขายได้เหลือเชื่อ เพราะบางช่วงสามารถก้าวขึ้นเป็นรถที่มียอดจำหน่ายสูงสุด ทั้งๆ ที่เปิดตัวมาหลายปีพอสมควร

ในปี 2560 ซึ่งจากข้อมูลมีรถดังๆ หลายรุ่น จะออกมาเปิดตัวทั้งกลุ่มซิตี้คาร์ อีโคคาร์ และอื่นๆ

แต่ “ฮอนด้า ซิตี้” จะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นรถรุ่นแรกที่เปิดตัวในปีระกา นี้ แม้จะเป็นการไมเนอร์เชนจ์ เนื่องจากอายุผ่านมาแค่ 3 ปี แต่ต้องบอกว่าปรับแบบใหญ่มากๆ

จนฮอนด้า บอกเองว่าเป็นรุ่น “ไมเนอร์ โมเดลเชนจ์” คือเปลี่ยนจนเกือบๆ จะเป็นรุ่นใหม่เลยก็ว่าได้

ในเมืองไทยรู้จัก “ฮอนด้า ซิตี้” ในเจเนอเรชั่นที่ 3 ช่วงปี พ.ศ.2539 เนื่องจาก 2 รุ่นแรกไม่ได้เข้ามาทำตลาด ยอดขายพอไปวัดไปวาได้

ล่วงเข้าเจเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งออกมาพร้อมคู่แฝดเก๋ง 5 ประตู “แจ๊ซ” ในรุ่น “ซิตี้” ไม่สวยหรูนัก เพราะรูปร่างหน้าตายังไม่โดนสำหรับคนไทย

นอกจากจะขายสู้ “แจ๊ซ” ซึ่งถือเป็นเก๋ง 5 ประตูที่เข้ามาลบความเชื่อเก่าๆ ว่าคนไทยไม่ชอบรถลักษณะนี้ไม่ได้แล้ว กับคู่รักคู่แค้นอย่าง “โตโยต้า วีออส” ก็สู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง

เพราะเจ้าวีออส รุ่นที่ออกมาขายประชันกันนั้น (รุ่นเรือนไมล์อยู่ตรงกลางคอนโซลหน้า) ลงตัวกว่า

กระนั้นก็ตามซิตี้ เจเนอเรชั่นที่ 5 ออกแบบได้ดูดีขึ้นเยอะ จนสามารถกวาดยอดขายได้น่าพอใจ

จนมาถึงรุ่นปัจจุบันเจเนอเรชั่นที่ 6 ประสบความสำเร็จสูงสุดเก็บยอดขายได้เยอะมาก บางช่วงขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของเซ็กเมนต์

หลังวางตลาดได้ 3 ปี “ซิตี้” ถึงเวลาปรับโฉมใหม่ เป็นการปรับแบบครั้งใหญ่ อ็อปชั่นหลายๆ อย่างถือว่าเป็น “ครั้งแรก” ของตระกูลนี้ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย

คนไทยจดๆ จ้องๆ ซิตี้ ไมเนอร์เชนจ์ มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หลังจากเห็นหน้าตาของ “Honda Greiz” คู่แฝดพรีเมียมของซิตี้ เปิดตัวในเมืองจีน

แนวคิดการออกแบบภายนอกแบบ “Advanced Energetic Design” สื่อถึงการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาผสมผสานกับการออกแบบตัวถังที่กว้างและต่ำลง ในสไตล์สปอร์ต

กระจังหน้าแบบโครเมียม พร้อมกันชนหน้า-หลัง ดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต เส้นสายฝากระโปรงหน้าดูพลิ้วมากขึ้น เชื่อมกับเส้นด้านข้างได้ลงตัว

ไฟหน้าทรงใหม่รับกับกระจังหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ในทุกรุ่น ถือเป็นครั้งแรกของเซ็กเมนต์

ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)โดยระบบไฟแบบ LED ประกอบไปด้วยแถวหลอด LED ที่เรียงตัวเป็นแนวยาว การสะท้อนแสงจากไฟ LED ด้วย Reflector ภายในโคมไฟทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนทั้งขณะขับขี่ในเวลากลางคืน หรือขณะฝนตกหนักจัด

ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด ขนาด 15 นิ้ว (เฉพาะรุ่น V และ V+) และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)

ด้านท้ายยังใกล้เคียงรุ่นเดิม โดยเฉพาะไฟท้ายไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก จริงๆแล้วหากนำไฟท้ายของรุ่น “Honda Greiz” ซึ่งละม้ายคล้ายซีวิค ใหม่ มาใส่จะยิ่ง “แหล่ม” เลย

ส่วนภายในออกแบบภายในห้องโดยสารใหม่ เพิ่มความหรูหรา และสปอร์ตมากขึ้น พร้อมเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย

คอนโซลด้านหน้า ออกแบบผสมผสานวัสดุที่มีพื้นผิวต่างกันได้อย่างลงตัวระหว่างแผงหน้าปัดพื้นผิวสีดำ และแผงคอนโซลตรงกลางรูปตัว T ในโทนสีเมทัลลิกเข้ม

พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)

มาตรวัดเรืองแสงแบบ 3 วง ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูมีมิติยิ่งขึ้น

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+)

ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+) รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายทั้งในระบบปฏิบัติการ Android และ iOS และยังรองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน HDMI

ลำโพง 8 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) ติดตั้งตามจุดต่างๆ อาทิ บริเวณแผงประตูด้านหน้าของเบาะหน้า และด้านหลังของเบาะหลัง

ตกแต่งบริเวณช่องแอร์ รอบบริเวณคันเกียร์ และรอบมาตรวัด ด้วยวงแหวนสีเงิน ทำให้ภายในห้องโดยสารมีความสวยงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้าแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV+) และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED (เฉพาะรุ่น SV+)

เบาะนั่งสไตล์สปอร์ต ด้วยการเลือกใช้วัสดุผ้าที่มีคุณภาพให้สัมผัสที่สบาย

เบาะที่นั่งด้านหลังปรับพับได้ 60:40 (เฉพาะรุ่น SV+)

ช่องจ่ายไฟสำรองบริเวณด้านหน้า 1 ตำแหน่ง (ทุกรุ่น) และเพิ่มช่องจ่ายไฟสำรองสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)

เครื่องยนต์ SOHC i-VTEC 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 117 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร พร้อมฟังก์ชั่น “Ecological-Drive Assist System” หรือ “E-CON System” ช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง

พร้อมระบบส่งกำลังที่มีทั้งแบบอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือเกียร์ CVT เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ และความประหยัดน้ำมัน อัตราทดเกียร์ที่อยู่ในช่วงกว้างจะช่วยให้การขับเคลื่อนมาพร้อมกับแรงบิดที่สูงในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลง จึงช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมัน

ขณะเดียวกัน อัตราทดเกียร์ที่กว้างช่วยเพิ่มกำลังในช่วงเร่งเครื่องตอนออกตัวเมื่อทำงานร่วมกับ “G-Design Shift” ระบบควบคุมการทำงานของเกียร์ ลิ้นปีกผีเสื้อ และการควบคุมระบบไฮดรอลิก ทำให้ตอบสนองได้รวดเร็วทันทีที่กดคันเร่ง

ให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร

และมีระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ อัตราการประหยัดน้ำมันที่ 18.2 กิโลเมตรต่อลิตร

รองรับการใช้น้ำมันสูงสุดถึง E85

ความปลอดภัยหายห่วง เทคโนโลยี “G-CON” ป้องกันสภาพการชนที่เกิดขึ้นจากการใช้งานจริง

ถุงลม 6 ตำแหน่ง (เฉพาะรุ่น SV+) ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ (i-Side Airbags) และม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)

กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+)

ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSA) ป้องกันการลื่นไถลออกทางด้านข้าง และให้ความมั่นใจในระหว่างการขับ การเลี้ยว หรือการหยุด กับการทรงตัวที่ดีของรถยนต์ในทุกทิศทาง

ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบส่งสัญญาณเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน (ESS)

มีให้เลือก 6 สี และ 6 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้น 550,000-751,000 บาท

สีขาวออร์คิด (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 6,000 บาท

 

ทิ้งท้ายฉบับนี้สำหรับแฟนานุแฟนที่ชอบติดตามเรื่องราวในแวดวงรถยนต์-จักรยานยนต์ ขอฝาก “เพจเฟซบุ๊ก” น้องใหม่ในเครือ “ข่าวสด” คือ “khaosod motor – ข่าวสด รถยนต์”

นำเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวของวงการรถยนต์-จักรยานยนต์ แนะนำรถใหม่ และบททดสอบรถรุ่นต่างๆ

แวะเวียนเข้าไปเยี่ยมชม กดไลก์ กดแชร์ หรือกดติดตามกันได้