รายงานพิเศษ /หมากการเมือง 3 ป. กับขุน ‘ธรรมนัส’ ชู ‘บิ๊กแดง’ แม่ทัพไซเบอร์ สู้ ‘คอมมิวนิสต์ใหม่’ จัดทัพ ตท.20-21-22 ‘บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’ เป๊ะ

รายงานพิเศษ

หมากการเมือง 3 ป.

กับขุน ‘ธรรมนัส’

ชู ‘บิ๊กแดง’ แม่ทัพไซเบอร์

สู้ ‘คอมมิวนิสต์ใหม่’

จัดทัพ  ตท.20-21-22

‘บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’ เป๊ะ

 

แม้จะกลายเป็นนักการเมืองไปแล้ว แต่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นทหารเก่า เมื่อลงสู่สนามการเมือง ก็ย่อมต้องมีการวางแผน มียุทธศาสตร์

ไม่ใช่แค่การวางแผนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ได้อย่างราบรื่นเท่านั้น แต่รวมถึงการวางแผนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเอง โดยไม่สนกฎต้องห้าม บทเรียนจากรัฐประหารรุ่นพี่ๆ ที่หัวหน้าคณะปฏิวัติจะต้องไม่เป็นนายกฯ เอง

แถม พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นหัวหน้า คสช.ที่มีมาตรา 44 ในมือ นั่งควบเป็นนายกฯ นานถึง 5 ปี เพื่อตัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าคณะปฏิวัติกับนายกรัฐมนตรี

รวมถึงการตั้ง ผบ.เหล่าทัพเป็น คสช. เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล และให้ ผบ.ทบ.ที่คุมกำลังรบหลัก เป็นเลขาธิการ คสช. คุมกองกำลังรักษาความสงบฯ (กกล.รส.) ที่มีกำลังมาจากทุกเหล่าทัพ

รวมถึงการยื้อเวลากว่าจะมีเลือกตั้งได้ถึง 5 ปี และร่างรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นฝ่ายตรงข้าม และเอื้อให้ คสช.เล่นการเมืองได้ต่อ

และการตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อรองรับการสืบทอดอำนาจในรูปแบบรัฐบาลจากการเลือกตั้ง รวมทั้งการมี 250 สมาชิกวุฒิสภาที่ คสช.แต่งตั้งมาเอง มีอำนาจโหวตเลือกนายกฯ

 

พรรคพลังประชารัฐ หรือที่ถูกเรียกว่าพรรคทหาร พรรค คสช. ไม่ใช่เป็นแค่พรรคการเมืองเฉพาะกิจ แต่เป็นพรรคการเมืองถาวร รองรับการผ่องถ่ายเปลี่ยนสถานภาพจากทหารเก่า โอลด์โซลเยอร์ มาเป็นนักการเมืองของแกนนำ คสช.

ทิศทางของพรรคพลังประชารัฐที่ดูดอดีต ส.ส.นักการเมืองมาอยู่ร่วมกันหลายกลุ่ม หลายขั้ว หลายมุ้ง จนกลายเป็นพรรคใหญ่ เป็นดัชนีชี้วัดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเดินบนถนนสายการเมืองนี้ แบบที่เรียกว่า ยาวไปๆ

นั่นจึงเป็นที่มาของการส่งบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ไปเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เป็นตัวแทนในการไปคุมพรรค

อันเป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรมีส่วนในการก่อตั้งพรรค และพลังดูด จนถึงการสู้ศึกเลือกตั้ง จนมาถึงการจัดตั้งรัฐบาล และจัดคณะรัฐมนตรี

พล.อ.ประวิตรจึงมีความคุ้นเคยกับบรรดาแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่มาจากหลายพรรค รวมถึงแกนนำในพรรคร่วมรัฐบาล จนเป็นที่รู้กันว่า ทุกเช้าวันพฤหัสฯ ที่บ้านป่ารอยต่อฯ ร.1 รอ. จะเป็นวันกินโจ๊ก กินข้าวต้ม ปาท่องโก๋ ของนักการเมืองกับ พล.อ.ประวิตร

การย่างก้าวทุกจังหวะ ล้วนมียุทธศาสตร์ หลังจากการตั้งรัฐบาล และการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเสร็จ พล.อ.ประวิตรเปิดตัวเปิดหน้าไปร่วมปิดการสัมมนาพรรคพลังประชารัฐที่วังน้ำเขียว พร้อมๆ กับการสมัครเป็นสมาชิกพรรค

ก่อนที่จะย่างขาเข้ามาคุมพรรค บนเก้าอี้ประธานยุทธศาสตร์พรรค โดยไม่ต้องเป็นกรรมการบริหารพรรค เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุใดๆ ทางการเมือง ที่ทำให้กรรมการบริหารพรรคต้องรับผิดชอบ

 

แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรมาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคเงาแบบเปิดตัว และทำหน้าที่แทน พล.อ.ประยุทธ์ ก็อาจจะยังไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามา เพราะหากผิดพลาดอาจกระทบต่อเก้าอี้นายกฯ ได้

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เคยปฏิเสธการมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเอง เพียงแต่ออกตัวว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นความจำเป็น และยังไม่ได้ตัดสินใจ

นี่เองจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องเป็นรองนายกรัฐมนตรีเพียงเก้าอี้เดียว โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็น รมว.กลาโหม และคุมตำรวจด้วยตนเองทั้งหมด

ขณะที่บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นั่งเป็น รมว.มหาดไทย ดูแลเรื่องฐานเสียง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะหยั่งรากลึกมา 5 ปี จากการเป็น มท.1 มายาวนาน พร้อมที่จะสู้ศึกการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะมีขึ้น เพื่อปูทางสู่การสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

ด้วยความเชื่อมั่นที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นรัฐบาลครบเทอม 4 ปี และชนะเลือกตั้งอีกครั้ง โดยที่ยังมี 250 ส.ว. มีอายุ 5 ปี สามารถโหวตเลือกนายกฯ ได้อีก 1 ครั้ง

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

 

กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดของพี่น้อง 3 ป. คือการเลือก “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มาเป็น “มือวิเศษ” ในการเดินเกมการเมือง และปฏิบัติการ ว.5 มาตลอด

จึงไม่แปลกที่ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จึงกล้าที่จะเสนอชื่อผู้กองธรรมนัสขึ้นทูลเกล้าฯ ให้เป็น รมช.เกษตรฯ แม้ว่าในอดีตจะเคยมีปัญหา จนทำให้ต้องลาออกจากราชการทหาร หรือแม้แต่ถูกมองว่ามีคดีติดตัว แม้ว่าศาลจะยกฟ้องก็ตาม

นั่นเป็นการสะท้อนว่า ผู้กองธรรมนัสมีความสำคัญกับทีมแกนนำ คสช. พยัคฆ์เฒ่าเหล่านี้แค่ไหน

โดยเฉพาะบทบาทในการเจรจากับพรรคการเมืองต่างๆ และพรรคขนาดเล็ก ในการจัดตั้งรัฐบาล จนมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรที่ไหน ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็มอบหมายให้ผู้กองธรรมนัสไปเคลียร์

แม้แต่เกิดปัญหาวิกฤตแล้งน้ำที่โรงพยาบาลสุรินทร์ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังส่งผู้กองธรรมนัสที่เป็น รมช.เกษตรฯ ไปแก้ปัญหา พร้อมๆ กับที่ พล.อ.ประวิตรส่งบิ๊กเจอร์รี่ พล.อ.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม ผบ.หน่วยทหารพัฒนา ไปในทันที จนทุกอย่างคลี่คลายใน 1 วัน

แต่กว่าที่ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์ จะมีผู้กองธรรมนัสมาเป็นมือเป็นไม้เช่นในปัจจุบันนี้ ก็ต้องผ่านการวัดใจกันมาไม่น้อย เพราะเมื่อก่อน ผู้กองธรรมนัสคือทายาทในวงการคนมีสี ผู้กว้างขวางของ เสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต เพื่อนรักเตรียมทหาร 10 ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เฟื่องฟูยิ่ง ในยุคที่นายทักษิณเป็นนายกฯ

ทำให้ผู้กองธรรมนัสได้รู้จักคุ้นเคยกับ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ของนายทักษิณ ที่ต่อมาถูกเรียกว่าเป็น ตท.10/1 คือเป็น เพื่อนทักษิณ ที่ไม่เอานายทักษิณในที่สุด

แต่เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พล.อ.อนุพงษ์เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ประกบผู้กองธรรมนัส เพื่อไม่ให้ออกอาวุธในการต่อต้านการรัฐประหาร มีการต่อสายพูดคุย กำราบและขอร้องกันแบบพี่ๆ น้องๆ เตรียมทหาร

ในระหว่างนั้น พล.อ.อนุพงษ์จะทำหน้าที่พูดคุยกับผู้กองธรรมนัสมาตลอด เช่นเดียวกับที่พยายามเจรจาให้เสธ.ไอซ์ลดบทบาท ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ช่วยนายทักษิณ

จนมาถึงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ผู้กองธรรมนัสก็ยังถูก คสช.เฝ้าจับตามองอยู่ แต่ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี จนกลายเป็นน้องรักของ พล.อ.อนุพงษ์ไปเลย

จนนำมาซึ่งการรู้จักใกล้ชิดกับทั้งป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์ ในที่สุด และนำมาซึ่งการย้ายพรรค ย้ายขั้วย้ายข้าง จากพรรคเพื่อไทยมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ระดับคนสำคัญของพรรคในทุกวันนี้

พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้

 

ด้วยสายใยพี่น้องเตรียมทหารและ จปร. ผู้กองธรรมนัส เตรียมทหาร 25 จปร.36 กับ พล.อ.ประวิตร เตรียมทหาร 6 จปร.17 พล.อ.อนุพงษ์ เตรียมทหาร 10 จปร.21 และ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมทหาร 12 จปร.23 จึงทำให้คุยกันง่ายขึ้น รวมถึงมีคดีบางคดีที่ทำให้ผู้กองธรรมนัสตัดสินใจ

“ถึงเวลาหรือยังที่จะเลือก และมาทำเพื่อชาติบ้านเมือง” คำพูดที่พี่น้อง 3 ป. เคยคุยกับผู้กองธรรมนัสก่อนที่จะย้ายพรรค

จนที่สุด ผู้กองธรรมนัสกลายมาเป็น “มือขวา” ของทั้ง พล.อ.ประวิตร และแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความที่มีศักยภาพ ทั้งทุนทรัพย์ บารมี ที่คุยกับใครก็ล้วนต้องเกรงใจ

ด้วยเคยอยู่พรรคเพื่อไทยมาก่อน จึงทำให้ผู้กองธรรมนัสไม่ได้ถูกอภิปรายในสภาในช่วงแถลงนโยบายรัฐบาลสักเท่าไหร่ ท่ามกลางกระแสข่าว การมี “งูเห่า” อยู่ในมือผู้กองธรรมนัส

จนทำให้ในพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มีแค่กลุ่มสามมิตร กลุ่ม กปปส.เดิม และกลุ่มบ้านริมน้ำ หรือกลุ่มพลังชล เท่านั้น แต่ตอนนี้มีกลุ่มผู้กองธรรมนัส ที่เป็น ส.ส.และนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ด้วย

ว่ากันว่า หาก พล.อ.ประวิตรเป็นเสมือนหัวหน้าพรรคเงา ผู้กองธรรมนัส ก็คือเลขาธิการพรรคเงาเลยทีเดียวเช่นกัน

 

ไม่ใช่แค่ย่างก้าวในทางการเมืองของ 3 พี่น้องทหารเสือราชินีจะมียุทธศาสตร์แล้ว ในด้านการคุมกองทัพ ก็ต้องมีกลยุทธ์ เพราะทั้ง 3 ป. เคยเป็นทั้งแม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.ทบ.กันมาแล้ว ย่อมรู้คุณและโทษของกองทัพเป็นอย่างดี

พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องควบ รมว.กลาโหมด้วยตนเอง แต่ก็ยังต้องให้ พล.อ.ประวิตรช่วยดูแลกองทัพอยู่เบื้องหลังต่อไป

ไม่ใช่แค่การจัดโผโยกย้ายตำรวจที่ยังต้องผ่าน พล.อ.ประวิตรเท่านั้น แต่โผโยกย้ายทหารที่กำลังจะส่งถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ผบ.เหล่าทัพก็หารือกับ พล.อ.ประวิตรมาก่อนแล้ว

หลายตำแหน่ง ถ้า พล.อ.ประวิตรไม่ให้ไฟเขียว ก็ไม่ผ่านถึงมือนายกฯ ยกเว้นเสียแต่ว่า ผบ.เหล่าทัพจะไปคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง

โดยเฉพาะใน บก.กองทัพไทย ทั้งตำแหน่ง ผบ.หน่วยทหารพัฒนา (นทพ.) ที่แม้บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด จะหนุนบิ๊กหรั่ง พล.อ.พีรพงษ์ เมืองบุญชู เพื่อน ตท.18 ก็ตาม เพราะที่ผ่านมาหลายยุค ผบ.นทพ.จะมาจากหัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสธ.ประจำ ผบ.ทหารสูงสุด หรือบิ๊กแขก พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล ผบ.สปท.

แต่ พล.อ.ธนเกียรติ สายตรงถึง พล.อ.ประวิตร หนุน พล.ท.อภิสิทธิ์ นุชบุษยา เสนาธิการ นทพ. นายทหารม้า เตรียมทหาร 20 ให้ขึ้นเป็น ผบ.นทพ.เลย โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรอง ผบ.นทพ.ก่อน ด้วยเพราะเป็นมือไม้ในการทำงานของ นทพ.มาตลอด โดยเฉพาะการแก้วิกฤตน้ำแล้งที่โรงพยาบาลสุรินทร์ ตามบัญชา พล.อ.ประวิตร

ขณะที่ เสธ.กวาง พล.ท.สัณทัศน์ นนทิภาคย์หิรัญ นายทหารเสือราชินี ลูกรักนายกฯ ก็ยังเป็นรอง ผบ.นทพ. จ่ออยู่ แต่เป็นเตรียมทหาร 21

ที่คาดว่า งานนี้จะต้องถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ ในการตัดสินใจ เพราะ ผบ.นทพ. ถือเป็นหน่วยที่มีกำลังพลและเครื่องมือทหารช่าง และบรรเทาสาธารณภัยอยู่ทั่วประเทศ ที่ พล.อ.ประวิตรมักสั่งการในการไปช่วยเหลือประชาชนเสมอๆ ใน 5 ปีที่ผ่านมา

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์

 

เก้าอี้ ผบ.นทพ. กลายเป็นศึกภายใน บก.กองทัพไทยเอง  ขณะที่มีศึกภายนอก ที่โผนี้ กองทัพบกจะมีปฏิบัติการเสือข้ามห้วยเสียบยอด

เพราะบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ส่งบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ข้ามมาเป็นเสนาธิการทหาร ครองอัตราพลเอกพิเศษ (อัตราจอมพลเดิม) เพื่อเตรียมมาจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ แทน พล.อ.พรพิพัฒน์ ที่จะเกษียณกันยายน 2563

ไม่แค่นั้น โควต้า ทบ.ในส่วนของรอง ผบ.ทหารสูงสุด ก็ยังให้บิ๊กชู พล.อ.ชูชาติ บัวขาว รอง เสธ.ทหาร ที่ข้ามมาจาก ทบ. เมื่อปีที่แล้ว ขึ้นเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด อัตราพลเอกพิเศษ เช่นกัน

นั่นหมายถึงว่า ทบ.มีทั้ง พล.อ.ชูชาติ เตรียมทหาร 20 และ พล.อ.เฉลิมพล เตรียมทหาร 21 จ่อชิงเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุดในปีหน้าเลยทีเดียว

แต่มีข่าวสะพัดวงในว่า พล.อ.เฉลิมพลจะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดเลยในปีหน้า แม้จะมีอายุราชการถึงกันยายน 2566 ก็ตาม จะไม่รอ พล.อ.ชูชาติ รุ่นพี่ ขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดก่อน ด้วยเพราะมีการวางตัวให้ พล.อ.ชูชาติข้ามไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในตุลาคม 2563 แทนบิ๊กอั๋น พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา รองปลัดกลาโหม ที่จะมาเป็นเลขาฯ สมช. แทน พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ที่จะเกษียณกันยายนปีนี้

ทั้งนี้เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ ซึ่งเป็น ผบ.หน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 ต้องการส่ง พล.อ.เฉลิมพลที่เป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารสายรักษาพระองค์ หรือ “ทหารคอแดง” ซึ่งเรียกจากเสื้อคอกลมขลิบรอบคอสีแดง ที่โผล่ออกมาให้เห็น เมื่อแต่งเครื่องแบบ และเป็นนายทหารที่ผ่านการฝึกหลักสูตรรักษาพระองค์มาแล้ว

อีกทั้งยังเป็นรุ่นน้อง ตท.21 ที่เป็นเสมือนเพื่อนของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ไว้วางใจและเชื่อมือ และพยายามผลักดัน โดยได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์เรียบร้อยแล้ว

แม้ พล.อ.พรพิพัฒน์จะพยายามที่จะผลักดันให้ “คนใน” บก.กองทัพไทย ได้เป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไปเช่นในอดีต ที่เป็นต่อๆ กันมาแล้วถึง 6 คน แต่งานนี้มี “ปัจจัยพิเศษ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พล.อ.พรพิพัฒน์จึงอยู่ในสถานะที่พูดอะไรไม่ออก

แม้จะมีการวางตัว เสธ.เบิร์ด พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รอง เสธ.ทหาร เตรียมทหาร 20 และ พล.อ.นเรนทร์ ตท.21 ไว้ชิงชัยก็ตาม

พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์

 

ขณะที่ในการจัดทัพบกนั้น พล.อ.อภิรัชต์ก็ลำบากใจไม่น้อย เพราะล้วนแต่เป็นเตรียมทหาร 20 และ ตท.21 ที่ล้วนเป็นเพื่อนและน้องที่เรียนด้วยกันมาทั้งสิ้น

ทั้งการที่ต้องส่งบิ๊กตู่ พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผช.ผบ.ทบ. ไปเป็นรองปลัดกลาโหม ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ไปช่วยงานบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม เพื่อน ตท.20 ที่ยังอยู่ถึงกันยายน 2564 ในฐานะที่เป็นน้องรักของพล.อ.ประวิตรด้วยกัน

แต่ปัญหาอยู่ที่มีระดับแม่ทัพภาคที่เหมาะสมจะขึ้นห้าเสือ ทบ. ทั้งบิ๊กป๋อ พล.ท.ฉลองชัย ชัยยะคำ แม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพเดฟ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ที่ก็จะเกษียณกันยายน 2563 พร้อมกัน

แถมยังมีบิ๊กนัย พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) เตรียมทหาร 21 ที่ก็เหมาะจะขึ้น ผช.ผบ.ทบ.

แต่เพราะเก้าอี้ ผช.ผบ.ทบ. ตัวหนึ่งต้องให้แม่ทัพบี้ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.22) นายทหารสายรักษาพระองค์ หรือทหารคอแดง ขึ้นมาเป็นพลเอก นั่ง ผช.ผบ.ทบ. เพื่อเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์เกษียณกันยายน 2563 ตามที่ได้วางตัวกันไว้แล้ว ให้นั่งยาวไปถึงกันยายน 2566

จึงมีข่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์เลือก พล.ท.ฉลองชัยให้ขึ้น ผช.ผบ.ทบ. ส่วนคนอื่นๆ ให้อยู่ที่เดิม เพราะทั้ง พล.ท.พรศักดิ์ ยังจำเป็นต้องดูแลสถานการณ์ชายแดนใต้ต่อไป และยังจำเป็นต้องให้ พล.ท.สุนัยดูแลรบพิเศษต่อไปก่อน ในยามที่สถานการณ์ยังไม่ปกติดีนัก

ขณะที่บิ๊กเป้ง พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ (ตท.19) ยังคงเป็น เสธ.ทบ.ต่อไป ในฐานะที่เป็นมือหนึ่งที่โตมาในสายยุทธการ ส่วนบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เพื่อนรัก ตท.20 ของ พล.อ.อภิรัชต์ ยังคงเป็นรอง ผบ.ทบ. ช่วยงานต่อไป เพราะล้วนเกษียณกันยายน 2564 ที่สามารถลุ้นเก้าอี้ ผบ.ทบ. สายบุ๋นได้

แต่ทว่า มีสัญญาณพิเศษกำหนดให้ พล.ท.ณรงค์พันธ์ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป

 

 

นอกจากจะต้องจัดวางขุนพลในกองทัพแล้ว พล.อ.อภิรัชต์ยังจะต้องกรำศึกการเมืองไปพร้อมๆ กันด้วย หลังจากเปิดศึกฉะพรรคการเมืองใหม่ ที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ และการปล่อยข่าวปลอม Fake News ในโซเชียล ที่เป็นกลยุทธ์คล้ายๆ ในยุคคอมมิวนิสต์ แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ระบุถึงพรรคที่เพิ่งเกิดใหม่ จนทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องสะดุ้ง และออกมากระหน่ำกลับอย่างแรง สมทบด้วยบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยที่เป็นห่วงแนวคิดของ ผบ.ทบ.

แต่ก็ทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์หันมาทำสงครามไซเบอร์ ต่อต้านข่าวปลอมในทางการเมืองอย่างจริงจัง เพราะนอกจากกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวกรอง และทำ Cyber Security Cloud แล้ว พล.อ.อภิรัชต์ยังจะเป็นทัพหน้าในการทำศึกครั้งนี้

ถึงขั้นที่ประกาศกับสำนักข่าวต่างประเทศไว้แล้วว่า จะดำเนินการดับทั้งพวกที่ปล่อยข่าวปลอม ทำลายความมั่นคง และสถาบัน

พร้อมทั้งการตั้งกองไซเบอร์ ที่ รร.นายร้อย จปร. เพื่อสร้างนายทหารที่เก่งๆ ในด้านนี้ ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน ขณะที่กรมยุทธการทหารบก และศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก กรมการทหารสื่อสาร ก็ยังคงทำหน้าที่ต่อสู้กับข่าวปลอม และปฏิบัติการข่าวสาร I.O. กันอย่างเข้มข้น

รวมทั้งการประกาศว่า ตราบใดที่ผมยังอยู่ในตำแหน่งนี้ จะไม่ยอมให้เกิดการรัฐประหารขึ้นในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์

แม้สายสัมพันธ์พี่น้องจะแนบแน่นยาวนานของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ พิสูจน์ใจกันมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

แต่เรื่องสถานการณ์และอนาคต ย่อมไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะอุบัติขึ้น เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ หรือ ผบ.ทบ. จะไม่ใช่คนตัดสินใจเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้วว่า จะปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่ ในขณะที่กองทัพก็ถูกวางตัวขุนพลไว้หมดแล้ว