อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ : จิตรกรเชิงสังวาส ผู้ใฝ่หาเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

ในยามที่บ้านเมืองของเราตกอยู่ในสภาวะจำกัดจำเขี่ยด้านเสรีภาพ

ประชาชนไม่อาจจะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตัวเองได้อย่างอิสระ

ซ้ำร้าย ในยุคสมัยที่โลกการสื่อสารกว้างไกลไร้พรมแดนในปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารรวมถึงธุรกิจการค้าส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก รัฐบาลกลับผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ ที่เปิดโอกาสให้มีการสอดส่อง ควบคุม ปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร รวมถึงเอาผิดประชาชนที่แสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย

ด้วยความอัดอั้นตันใจไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยได้แต่แสดงออกด้วยการกล่าวถึงเรื่องราวของศิลปินที่ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพอย่างหนักหน่วงรุนแรง แต่ก็ยังสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยมออกมาประดับโลกได้

เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆ แด่ประชาชนที่กำลังต่อสู้เพื่อเสรีภาพก็แล้วกัน

ศิลปินคนที่เรากำลังจะกล่าวถึงนี้มีชื่อว่า เอกอน ชีเลอ (Egon Schiele)

หนึ่งในจิตรกรที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคเปลี่ยนศตวรรษที่ 20

เขาได้รับอิทธิพลจากศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเดียวกันอย่าง กุสตาฟ คลิ้มต์*

เขามีชื่อเสียงจากการทำงานศิลปะเชิงสังวาสที่แสดงออกถึงเรื่องทางเพศ ความน่ารังเกียจ ความตาย

ภาพเขียนของเขามักจะเป็นภาพเปลือย (ของตัวเองและนางแบบ) ที่แสดงท่าทางอันพิสดาร บิดเบี้ยว หงิกงอ ผ่านเส้นสายลายเส้นที่เฉียบขาด รุนแรง

จนได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นธารของงานศิลปะสกุล Expressionism เลยทีเดียว

เอกอน ชีเลอ เกิดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ปี ค.ศ.1890 ในประเทศออสเตรีย

บิดาทำงานในสถานีรถไฟ ในปี ค.ศ.1906 เขาเข้าศึกษาในโรงเรียนศิลปะ Kunstgewerbeschule (School of Arts and Crafts) และ Akademie der Bildenden Knste ณ กรุงเวียนนา (ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกันกับที่เคยปฏิเสธที่จะรับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เข้าเรียน จนนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่ว่า ชีเลอและฮิตเลอร์เคยรู้จักกันที่เวียนนานั่นเอง)

ในช่วงนั้นเขามีโอกาสพบกับ กุสตาฟ คลิ้มต์ ผู้เป็นรุ่นพี่ในสถาบันเดียวกัน ซึ่งชื่นชมในพรสวรรค์ของเขา และให้การสนับสนุน

ตลอดจนฝากฝังงานให้เขา

ภายหลังจากจบการศึกษา เขาเริ่มต้นทำงานศิลปะอย่างจริงจัง

ในช่วงนี้เอง ที่เขาเริ่มเขียนภาพเปลือยมากมาย โดยจ้างสาวแรกรุ่นมาเป็นแบบ (ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่สะท้อนจากความต้องการในช่วงวัยหนุ่ม ที่เขามีความผูกพันในลักษณะหมิ่นเหม่ไปในทางชู้สาวกับน้องสาวของเขาเอง)

นางแบบในภาพเขียนของเขามีท่าทางอันยั่วยวนและแสดงออกถึงความรู้สึกทางเพศอย่างจะแจ้ง ซึ่งมันดู ลามก อนาจาร และเป็นเรื่องต้องห้ามเป็นอย่างยิ่งในความคิดของคนสมัยนั้น

และในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1912 เขาก็ถูกจับกุม ยึดภาพเขียน และถูกตั้งข้อกล่าวหาล่อลวงและกระทำอนาจารเด็ก

ถึงแม้จะรอดพ้นจากข้อหาดังกล่าว เขาก็ยังคงถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าแสดงนิทรรศการศิลปะโป๊เปลือยโดยให้เด็กเข้าชมได้

เขาถูกศาลสั่งคุมขัง 21 วัน พร้อมกับถูกเผางานทิ้งไปจำนวนหนึ่ง

ในระหว่างที่ถูกจำคุกอยู่นั้น เขาได้เขียนภาพเหมือนของตัวเองออกมาชุดหนึ่ง ที่แสดงออกถึงความยากลำบากและความบอบช้ำทางจิตใจของเขาในขณะถูกคุมขัง

และเป็นเสมือนหนึ่งการประท้วงต่อการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของศิลปิน

แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับเชิญให้ไปแสดงงานในนิทรรศการศิลปะ Sonderbund เมืองโคโลญจ์

ที่นี่เขาได้มีโอกาสรู้จักและได้รับการสนับสนุนจากนายหน้าค้างานศิลปะ ในเมืองมิวนิกคนหนึ่ง จนประสบความสำเร็จทั้งทางด้านชื่อเสียงและเงินทอง

เป็นหนึ่งในศิลปินดาวรุ่งรุ่นใหม่ที่อายุน้อยที่สุด และยังได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลให้แสดงงานในต่างประเทศหลายครั้ง

ในปี ค.ศ.1912 เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการแสดงศิลปกรรม “Secession ครั้งที่ 49” และได้รับมอบหมายให้ออกแบบโปสเตอร์ของงานนี้

ซึ่งโปสเตอร์ที่เขาออกแบบมีองค์ประกอบของภาพที่ชวนให้นึกไปถึงภาพ “พระกระยาหารมื้อสุดท้าย” (The last supper) โดยที่เขาเขียนภาพตัวเองนั่งอยู่ในตำแหน่งของพระเยซูคริสต์

ถึงแม้ว่าจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่งานในครั้งนั้นก็สำเร็จลงด้วยดี และทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นจนผลงานของเขามีราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัว

และยังได้รับข้อเสนอให้เขียนภาพเหมือนบุคคลเป็นจำนวนมากอีกด้วย

แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของเขานั้นช่างแสนสั้นยิ่งนัก เพราะในวันที่ 31 ตุลาคม 1918 เขาก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลงด้วยวัยเพียง 28 ปีเท่านั้น

แต่แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ผลงานและเรื่องราวของเขาก็ยังได้รับการชื่นชมและกล่าวขานในหมู่ผู้รักศิลปะและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์จวบจนถึงปัจจุบัน


*กุสตาฟ คลิ้มต์ (Gustav Klimt) จิตรกร นักออกแบบ มัณฑนากร และศิลปินชาวออสเตรียคนสำคัญ ผู้ผลักดันให้ศิลปะอาร์ตนูโวเป็นที่นิยมและแพร่หลายอย่างกว้างขวางในวงการศิลปะและออกแบบออสเตรียและทั่วโลก เอกลักษณ์อันโดดเด่นในผลงานจิตรกรรมของคลิ้มต์คือการเขียนภาพเหมือนของคนที่ผสานกันอย่างกลมกลืนกับลวดลายอันวิจิตรพิสดารจนดูเหมือนจะหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว