รายงานพิเศษ / ติดเขี้ยวเล็บ ‘บิ๊กตู่’ ฟื้น PMDU-PMOC เบ็ดเสร็จคุมทหาร-ตร. ค้ำรัฐบาล ยึดอำนาจ ‘บิ๊กป้อม’ เปิดเคล็ดอยู่ยาว

รายงานพิเศษ

 

ติดเขี้ยวเล็บ ‘บิ๊กตู่’

ฟื้น PMDU-PMOC

เบ็ดเสร็จคุมทหาร-ตร. ค้ำรัฐบาล

ยึดอำนาจ ‘บิ๊กป้อม’

เปิดเคล็ดอยู่ยาว

 

สิ้นสถานภาพการเป็นหัวหน้า คสช. และไม่มีมาตรา 44 แล้วก็ตาม แต่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังเปี่ยมพลังอำนาจ

ไม่ใช่แค่เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ยังควบ รมว.กลาโหม คุมกองทัพแล้วยังคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และนั่งประธาน ก.ตร.ด้วยตนเอง แถมทั้งยังคุมดีเอสไออีกด้วย

แม้จะอ้างเหตุผลเรื่องการปฏิรูปตำรวจ และดีเอสไอใหม่ และปัญหาสุขภาพของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ให้เหลือเก้าอี้รองนายกฯ ตัวเดียวก็ตาม

แต่การคุมทหาร คุมตำรวจ คุมกรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ แบบนี้ เป็นการติดอาวุธ ติดเขี้ยวเล็บให้ทหารเสือฯ เก่า เพิ่มขึ้น

ในอีกทางหนึ่ง การที่ พล.อ.ประยุทธ์คุมตำรวจเอง ย่อมถูกมองเป็นการลดอำนาจและบารมีของพี่ใหญ่ที่คุมตำรวจมา 5 ปีเต็ม

ด้วยเพราะที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนเรื่องการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจอยู่เสมอๆ ความขัดแย้งวิ่งเต้น และการเลื่อยขาเก้าอี้กันวุ่นวาย

แม้แต่กรณีของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล น้องเลิฟ ที่ พล.อ.ประวิตรให้มีส่วนช่วยในการจัดโผตำรวจ จนที่สุดก็เกิดปัญหา

อีกทั้งในเวลานี้เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ต้องระมัดระวังมากขึ้น

แม้ในทางปฏิบัติจะยังเชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรก็จะยังคงช่วยดูแลตำรวจอยู่ก็ตาม แต่หน้าฉากแล้วก็เป็นการตัดปัญหาที่จะเชื่อมโยงกับพี่ใหญ่

พล.อ.ประยุทธ์เองก็กลัว พล.อ.ประวิตรจะเสียใจ จึงจะมอบหมายเป็นกรณีๆ ไปในการแก้ปัญหาตำรวจ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างและปฏิรูปดีเอสไอ

“ผมยังช่วยดูแลตำรวจอยู่” พล.อ.ประวิตรออกตัว เมื่อถูกถามว่า เบาตัวขึ้นหรือไม่ หลังจากที่นายกฯ คุมตำรวจเอง

พล.อ.ประยุทธ์เองก็ไม่อยากให้ถูกมองว่ายึดอำนาจจากพี่ใหญ่ และรวบอำนาจไว้เองทั้งหมด จึงระบุว่า ต้องการช่วยลดความรับผิดชอบของ พล.อ.ประวิตร เพราะท่านสุขภาพไม่แข็งแรง แม้ท่านจะมีความตั้งใจสูงในการทำงาน

อีกทั้งเป็นความสมัครใจของ พล.อ.ประวิตรเองที่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์คุมเอง

แต่ก็เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ตั้งใจที่จะทำให้พี่ใหญ่เบามือที่สุด เพื่อไปดูแลพรรคพลังประชารัฐที่ พล.อ.ประวิตรเข้าเป็นสมาชิกพรรคแล้ว หลังจากเปิดตัว เปิดหน้า ไปร่วมงานสัมมนาพรรคที่วังน้ำเขียว

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคเองเมื่อใด

“ผมจะเป็นอะไร เมื่อไหร่ ขอให้เป็นการตัดสินใจของผมเอง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

แต่ก็สะท้อนว่า ไม่ว่าจะถูกถามกี่ครั้ง พล.อ.ประยุทธ์จะไม่เคยปฏิเสธว่าจะไม่เป็นหัวหน้าพรรค แต่มักจะขอเวลาตัดสินใจก่อนเท่านั้น

นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.ประวิตรนั่งรองนายกฯ เก้าอี้เดียว

เรียกได้ว่า 3 พี่น้องแบ่งงานกันทำ แยกกันเดิน รวมกันดี เพราะบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็คุมมหาดไทย คุมอำนาจระดับจังหวัด และท้องถิ่นเบ็ดเสร็จ พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทุกสนาม ในนาม พปชร. ที่จะเป็นพรรคถาวรที่แกนนำ คสช. อย่าง 3 ปี ใช้เป็นกลไกในการชิงอำนาจรัฐ

ด้วยความมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ครบเทอม 4 ปี แล้วเลือกตั้งใหม่ โดยที่ 250 ส.ว. ที่มีอายุ 5 ปี ยังคงอยู่ช่วยโหวตนายกฯ อีกสมัย

ที่สำคัญที่สุด การที่ พล.อ.ประยุทธ์ควบ รมว.กลาโหม คุมกองทัพเองนั้น ถือว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้เก้าอี้นายกฯ และรัฐบาล

 

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะออกตัวว่า การที่เป็นนายกฯ แล้วมาเป็น รมว.กลาโหม เพื่อหวังใช้อำนาจในการสืบทอดอำนาจให้ตนเองอยู่ได้ยาวนานนั้นคงไม่ใช่ เพราะกองทัพมีกฎหมายในการดูแลอยู่แล้ว

แต่ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ก็ออกตัวไว้กับ ผบ.เหล่าทัพ ในโอกาสที่เข้ากระทรวงกลาโหมวันแรกเมื่อ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงแนวทางการจัดทำโผโยกย้ายทหาร ที่จะต้องส่งถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์กลางเดือนสิงหาคมนี้แล้ว

โดยให้ ผบ.หน่วยพิจารณาเสนอขึ้นมาตามความเหมาะสม และดูที่ขีดความสามารถ แต่หากขีดความสามารถเหมือนกันหมดทุกคน พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นคนพิจารณาความเหมาะสมในระดับข้างบนอีกทีหนึ่ง

นั่นหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะทั้ง รมว.กลาโหม และนายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ

แม้ว่าตาม พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 ในบอร์ด 7 เสือกลาโหม ที่จะพิจารณาบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้าย จะมี รมว.กลาโหมเป็นประธานใหญ่สุด ร่วมด้วย รมช.กลาโหม ปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ก็ตาม เพื่อไม่ให้การเมืองแทรกแซงกองทัพได้

แต่ทว่าในกรณีนี้ รมว.กลาโหมคือนายกรัฐมนตรี แถมมี รมช.กลาโหมด้วยอีกเสียงหนึ่ง

แม้ ผบ.เหล่าทัพจะมีความเห็นไม่ตรงกับ รมว.กลาโหมในบางตำแหน่ง แต่ก็มีโอกาสน้อยที่ ผบ.เหล่าทัพจะกล้าหักหาญ รมว.กลาโหม ด้วยการร่วมกันลงมติด้วยเสียง ผบ.เหล่าทัพ 5 คน ชนะ 2 เสียงฝ่ายการเมือง

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงจะมีอำนาจเต็มในการจัดโผทหารและคุมกองทัพ

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะให้ พล.อ.ประวิตรคุมแค่กระทรวงแรงงาน กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรฯ ไม่ได้คุมกระทรวงกลาโหม

แต่ก็ปลอบใจด้วยการให้คุมศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ และที่ดินต่อไป

ด้วยเพราะ พล.อ.ประวิตรคุมการข่าวมาตั้งแต่ต้น โดยมีการนัดประชุมหน่วยข่าวของทุกส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ สขช. และหน่วยข่าวกรองทางทหาร กองทัพบก และศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ทุกวันจันทร์

โดยที่ พล.อ.ประวิตรยังคงใช้มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ใน ร.1 รอ. เป็นเสมือนทำเนียบรัฐบาลน้อยๆ ในการทำงานต่อไป เพราะ พล.อ.ประวิตรไม่อยากที่จะนั่งที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล หากมีประชุม พล.อ.ประวิตรก็จะอยู่ทำเนียบแค่ครึ่งวันเท่านั้น

 

ตั้งแต่เป็นรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว พล.อ.ประวิตรก็ลดการให้สัมภาษณ์ และการพูดคุยกับนักข่าวลง เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่จะกลายเป็น ตำบลกระสุนตกของรัฐบาล

และที่ต้องจับตามองคือ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้มอบหมายงานให้ พล.อ.ประวิตรคุมทหารแล้ว ผบ.เหล่าทัพจะยังคงมีประเพณีทานอาหารเช้าที่บ้าน ร.1 รอ. กับ พล.อ.ประวิตรต่อไปอีกหรือไม่

เพราะในทางปฏิบัติ นายทหารในกองทัพก็เชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรจะยังคงมีบทบาทอยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์ในการคุมทหารและตำรวจอยู่ดี

พล.อ.ประวิตรยังคงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้น้องๆ ทหารและตำรวจมาอาศัยร่มเงา และบารมีในการเติบโตต่อไป แต่อยู่ที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไฟเขียวให้มากน้อยแค่ไหน

การมาเป็น รมว.กลาโหมคุมกองทัพครั้งแรกในชีวิตของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ว่าจะคุม ผบ.เหล่าทัพได้

โดยเฉพาะบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่มีเพาเวอร์มากที่สุด ที่ก็เป็นน้องรักสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่แล้ว

แม้ พล.อ.อภิรัชต์จะมีสถานภาพพิเศษในตำแหน่งอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สายใยความเคารพรักที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ลดน้อยลงเลย เพราะทุกครั้งที่มีโอกาสแสดงออกให้เห็นจุดยืนทางการเมือง พล.อ.อภิรัชต์ก็ไม่ละเลยที่จะเขย่านักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

ถึงขั้นที่เตรียมเปิดบทความกึ่งวิทยานิพนธ์ทางการเมือง ที่มีเนื้อหาพาดพิงบางพรรคการเมืองแบบเต็มๆ ในไม่ช้านี้

ที่รู้กันดีว่ามีการเล็งเป้าไปที่พรรคอนาคตใหม่ กับปฏิบัติการข่าวสารทางโซเชียลที่เป็นระบบ

จนทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ย้ำว่า “โซเชียลมีอานุภาพร้ายแรงกว่าอาวุธใดๆ ที่มีในโลกนี้ อาวุธทำลายล้างชีวิตคนได้ แต่โซเชียลสามารถทำให้คนตายทั้งเป็นได้…”

จึงไม่แปลกที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะให้กระทรวงดิจิทัลฯ ตั้งศูนย์คัดกรองข่าวปลอม ขณะที่ พล.อ.อภิรัชต์ก็สั่งตั้งกองไซเบอร์ ที่ รร.นายร้อย จปร. เพื่อฝึกสอนอบรมนักเรียนนายร้อยที่มีความสนใจและความสามารถด้านนี้ ให้ศึกษาอย่างจริงจัง

กล่าวกันว่า ผู้กองพลุ ร.อ.พิรพงศ์ คงสมพงษ์ ลูกชายของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่จบจากสหรัฐอเมริกานั้น มีความสามารถเชี่ยวชาญเรื่องไซเบอร์อย่างมาก แต่ปัจจุบันย้ายไปอยู่ ทม.รอ. นานแล้ว ส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์มีข้อมูลต่างๆ ด้านไซเบอร์ไม่น้อย

และพร้อมรับสถานการณ์การต่อสู้ทางไซเบอร์ที่หวังผลทางการเมืองที่จะรุนแรงขึ้น

 

ด้วยจุดยืนต่างๆ ที่ชัดเจนของ พล.อ.อภิรัชต์ จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ก็วางใจได้ว่า การปฏิวัติรัฐประหารล้มล้างอำนาจจะไม่เกิดขึ้น และถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศในสภาในวันแถลงนโยบายรัฐบาล ว่า การปฏิวัติรัฐประหารจะไม่มีขึ้นอีกแล้ว

แต่พร้อมๆ กันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องจัดโผทหาร โผนายทหารโผนี้ประเดิมเป็นโผแรก ที่จะเสร็จสิ้นกลางเดือนสิงหาคมนี้

เหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ก็ไฟเขียวให้ พล.อ.อภิรัชต์จัดวางตัวทายาทเอง ที่รู้กันดีแล้วว่า จะดันบิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้น ผช.ผบ.ทบ. โดยมีบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็นแม่ทัพภาคที่ 1

รวมทั้งการดันบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ข้ามไปเป็นเสนาธิการทหาร บก.ทัพไทย เพื่อชิงเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุด ในปลายปีหน้า

แม้บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด จะมีทั้ง เสธ.เบิร์ด พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รอง เสธ.ทหาร และ เสธ.แขก พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล ผบ.สปท. จ่อเป็น เสธ.ทหาร เพื่อขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดก็ตาม

แต่พลังความแรงของ พล.อ.อภิรัชต์ และสายสัมพันธ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำให้มีน้ำหนักมากกว่า

 

ขณะที่ที่กลาโหมของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่นอกจากจะมีบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม สมัยที่ 2 รุ่นน้องเตรียมทหาร 16 รวมทั้งมีบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม ตท.20 ลูกรัก พล.อ.ประวิตร เป็นกำลังหลัก ดูแลงานที่กลาโหมให้แล้ว

บิ๊กชาติ พล.อ.สุชาติ หนองบัว รุ่นน้องเตรียมทหาร 15 ของนายกฯ ก็มาเป็นเลขานุการ รมว.กลาโหม และมีบิ๊กหนู พล.อ.ศักดา เนียมคำ ตท.20 มาเป็นหัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม นั่งประจำที่กลาโหม

โดยมี เสธ.กวาง พล.ท.ม.ล.กุลชาต ดิศกุล ที่เทียบเป็น ตท.20 ที่ทำงานช่วย พล.อ.ประยุทธ์ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบมาหลายปี ก็ถูกส่งมาช่วยที่กลาโหม และถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.อ.ศักดาด้วย

รวมทั้งมี เสธ.จิ้น พล.ท.ธนะศักดิ์ ชิ่นอิ่ม อดีตเจ้ากรมสารวัตรทหารบก เตรียมทหาร 24 รุ่นที่กำลังมาแรง มาเป็นทีมงานอีกคนหนึ่ง

โดยที่ เสธ.มิตต์ พล.ต.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ ฝ่าย เสธ.หน้าห้องนายกฯ ก็ยังคงดูแฟ้มงานของกลาโหม ก่อนถึงมือนายกฯ เช่นเดิม

เมื่อวันที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าห้องทำงานที่กระทรวงกลาโหมครั้งแรก ในฐานะ รมว.กลาโหมคนที่ 42 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ให้อัญเชิญพระพุทธรูป 3 องค์มาไว้เพื่อเป็นสิริมงคล ทั้งพระพุทธเมตตาเสนานาถ พระปางนาคปรก ประจำวันเกิด และพลวงพ่อโต๊ะ

รวมทั้งพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ พล.อ.ประยุทธ์ยึดถือไว้ในหัวใจ ประดิษฐานไว้ในห้องทำงานชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกลาโหม ที่มีอายุกว่า 132 ปี

ตามความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย ก็ย่อมต้องมีซินแสหรือหมอดูที่ พล.อ.ประยุทธ์นับถือ ทั้งพระสงฆ์ วัดประยูรวงศ์ และหมอดูคนดัง มาดูทิศทางให้ โดยเฉพาะการขยับโต๊ะทำงาน รมว.กลาโหมใหม่ โดยหันหน้าเข้าหาพระบรมมหาราชวัง ที่ทำให้กลายเป็นห้องทำงานที่สวยที่สุด และมีมนต์ขลัง เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

จากเดิมที่ในยุค พล.อ.ประวิตร โต๊ะทำงาน รมว.กลาโหม วางบนคานพอดี เพื่อหวังให้แข็งแกร่ง

แต่ในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขยับออกให้พ้นคาน เพื่อให้ทัศนียภาพเบื้องหน้าสุดงดงาม

แถมทั้งในวันที่เข้ากระทรวงนั้น มีสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง ทั้งท้องฟ้าที่มีเมฆเป็นรูปพญานาค การปรากฏของ “บ่อน้ำโบราณ” ใจกลางกระทรวงกลาโหม ทั้งดวงไฟสีฟ้า ที่เห็นกันทั้งที่ศาลหลักเมือง และศาลเจ้าพ่อหอกลอง ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องแรงกล้า แต่กลับมีลมพัดมาเอื่อยๆ เย็นๆ

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ค่อยได้เข้ามานั่งทำงานที่กลาโหม แต่ก็มีแผนจะเข้ามาประชุมสภากลาโหมเดือนละครั้ง และรับแขกระดับ รมว.กลาโหมที่มาเยือน

 

ไม่แค่นั้น ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังตั้งสำนักบริหารนโยบายนายกรัฐมนตรี หรือ PMDU (Prime Minister Delivery Unit) ที่เคยมีในยุครัฐบาล คสช.ขึ้นมาอีกครั้ง

เช่นเดียวกับการตั้งศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC-Prime Minister Operation Command) ในยุค คสช.ขึ้นมาอีกครั้ง โดยมี เสธ.นุ้ย พ.อ.ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ อดีต ผช.ทูตทหารบกไทยประจำมาเลเซีย ที่เป็นทีมตึกไทยคู่ฟ้า มานาน มาเป็น ผอ.พีม็อค ที่คาดว่าในโผโยกย้ายนี้จะได้เป็นพลตรี ด้วย ที่ถือว่าเป็นวอร์รูมบนตึกไทยคู่ฟ้า ที่เชื่อมโยงกับวอร์รูมที่กลาโหมด้วย

โดยที่ทีมงานส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังคงมีทั้ง เสธ.โหน่ง พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาคย์ อดีตรองโฆษกรัฐบาล พร้อมด้วยผู้พันลิซ่า พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ และ เสธ.ก้อง พล.ต.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ อดีต ผช.โฆษกรัฐบาล ช่วยงานหน้าห้องต่อไป

ทั้งทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงกลาโหม ยังคงถือเป็นเสาหลักค้ำยันรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” ให้แข็งแกร่งมั่นคง หาก 2 เสานี้ยังคงไปด้วยกันได้อย่างดี หนุนเนื่องกัน ภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวกัน

ก็ไม่ต่างจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้จะเป็นนายกฯ แต่ก็เป็นหัวหน้า คสช.คุมกองทัพด้วย

  หากแต่รูปแบบและโครงสร้างการใช้อำนาจแบบ คสช. จะต้องแปลงร่างและปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์