“เมสซี่เจ” ตะลุยลูกหนังญี่ปุ่น จับตาแข้งไทยคนแรกในศึกเจลีก

นับเป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ค้าแข้งในศึกเจลีก ประเทศญี่ปุ่น สำหรับ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ดาวเตะวัย 23 ปี ซึ่งได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมากับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ในรูปแบบสัญญายืมตัวเวลา 1 ปีครึ่ง

ชนาธิปเริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งกับ “มังกรไฟ” บีอีซี เทโรศาสน เมื่อปี 2012 ด้วยวัยเพียง 19 ปี โดยลงสนามถึง 104 นัด และพังประตูได้ 41 ประตู จากนั้นเมื่อปี 2016 “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่ไทยลีก กระชากตัวมาร่วมทัพด้วยสัญญายืมตัวก่อนได้เซ็นสัญญาซื้อขาดกันเป็นเรียบร้อย

ดาวเตะชาวนครปฐมรายนี้มีส่วนสำคัญพาทัพกิเลนผยองทวงแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 4 โดยลงสนามไป 37 นัด และแม้จะยิงได้เพียง 3 ประตู แต่นับว่าเป็นตัวป่วนกองหลังคู่แข่ง รวมทั้งมีการจ่ายบอลทะลุช่องสวยงามบ่อยครั้ง

จนช่วยให้เพื่อนร่วมทีมหลุดเข้าไปพังตาข่าย

 

ขณะที่บนเส้นทางการเล่นให้ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทยนั้น ชนาธิปติดทีมชาติตั้งแต่รุ่นไม่เกิน 19 ปี และรุ่นไม่เกิน 23 ปี ก่อนฟอร์มเข้าตา “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือทีมชาติไทยชาวเยอรมนี เรียกตัวติดทีมชุดใหญ่ทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012” พร้อมกลายเป็นนักเตะอายุน้อยของทีมชาติไทยในทัวร์นาเมนต์ด้วยวัยแค่ 19 ปีเท่านั้น

แม้ว่าในศึกเอฟเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2012 ชนาธิปจะช่วยทีมคว้าเพียงรองแชมป์ แต่หลังจากนั้นชื่อของเขาอยู่ในข่ายของ “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทยคนปัจจุบันที่เคยคุมทีมรุ่นไม่เกิน 23 ปี โดยที่โค้ชซิโก้ไว้วางใจชนาธิปจนช่วยพาทีมคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2013 ที่ประเทศพม่า และคว้าอันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์ 2014 ที่ประเทศเกาหลีใต้

เมื่อโค้ชซิโก้ได้ขยับขึ้นมาคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่เต็มตัวในทัวร์นาเมนต์แรกคือ ศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 โค้ชซิโก้ได้มอบหมายให้ชนาธิปเป็นแกนหลักทีม และดาวเตะรายนี้ได้กลายเป็นจอมทัพนำทีมชาติไทยเถลิงแชมป์อาเซียน 2 สมัยติดต่อกัน รวมทั้งยังคว้ารางวัลนักเตะทรงคุณค่าได้ทั้ง 2 สมัยติดต่อกันเป็นคนแรก

ด้วยสรีระร่างกายที่มีส่วนสูงเพียง 158 เซนติเมตร แต่มีการเล่นที่ความคล่องแคล่วว่องไว ทำให้สื่อต่างให้ฉายาชนาธิปว่าเป็น “เมสซี่ไทยแลนด์” หรือ “เมสซี่เจ” เนื่องจากเจ้าตัวมีสไลต์การเล่นคล้ายคลึงกับ ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะซูเปอร์สตาร์กัปตันทีม “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินาของ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า

 

จากฟอร์มการเล่นกับสโมสร และฟอร์มอันยอดเยี่ยมกับทีมชาติไทยในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 รวมทั้งศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย ทำให้ฝีเท้าเมสซี่เจไปเข้าตา คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ให้ความสนใจกระชากตัวไปร่วมทัพ

ฮิโรคัตซึ มิกามิ ผู้อำนวยการสโมสรคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ระบุว่า รู้อยู่แล้วว่าชนาธิปต้องการค้าแข้งที่ญี่ปุ่น ทำให้ทีมยิ่งจับตามองเขา สิ่งที่ตัดสินใจว่าอยากจะดึงเขามาร่วมทีมแน่ๆ คือเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ทีมชาติญี่ปุ่นบุกเยือนทีมชาติไทย เกมนั้นชนาธิปสร้างความแตกต่างให้ทีม รวมถึงการเคลื่อนตัวของเขาที่ใช้ความสามารถ และความคล่องแคล่ว

“ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องคว้าตัวเขามาให้ได้ แม้รูปร่างจะเล็ก แต่สิ่งที่มีคือความรวดเร็วคล่องแคล่ว ซึ่งเหนือกว่าคนอื่นก็สามารถชดเชยตรงจุดนั้นได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการเล่นในญี่ปุ่นแน่นอน ผมจึงคิดว่าเขาคือนักฟุตบอลอันดับ 1 ในอาเซียน” ผอ.สโมสรคอนซาโดเล่ ซัปโปโร กล่าว

สำหรับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยการคว้าแชมป์เจลีก 2 โดยเก็บได้ 85 คะแนน ยิงได้ 65 ประตู และเสียไป 33 ประตู ซึ่งทำสถิติยิงประตูได้มากที่สุด และเสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีก พร้อมกับคว้าสิทธิเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จอีกครั้ง

น้องใหม่ศึกเจลีก 2017 ทีมนี้เคยคว้าตัวนักเตะอาเซียนมาร่วมทัพแล้วถึง 3 คน ประกอบด้วย เล คอง วินห์ ศูนย์หน้าทีมชาติเวียดนาม เมื่อปี 2013, สเตฟาโน่ ลิลิปาลี่, อิรฟาน บัคดิม สองแข้งทีมชาติอินโดนีเซียที่เคยมาค้าแข้งเมื่อปี 2014 และ 2015-2016 ตามลำดับ

ทำให้เมสซี่เจจะกลายเป็นนักเตะอาเซียนคนที่ 4 ของคอนซาโดเล่ ซัปโปโร

 

แม้ชนาธิปจะเป็นนักเตะไทยคนแรกที่จะได้เล่นในเจลีก แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้นักเตะไทยคนแรกที่มาเล่นในลีกญี่ปุ่นคือ “เฮงซัง” วิทยา เลาหกุล เมื่อปี 1976 ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเพียงลีกกึ่งอาชีพเท่านั้น โดยเฮงซังค้าแข้งกับ ยันมาร์ ดีเซล หรือ เซเรโซ่ โอซาก้า ในปัจจุบัน พร้อมกับประสบความสำเร็จพาทีมคว้าแชมป์ และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม

จากนั้น “โค้ชเฮง” บุกไปค้าแข้งในลีกยุโรปที่ประเทศเยอรมนีกับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน และซาร์บรุ๊คเคน จนได้รับฉายาว่า “ไทยบูม” ก่อนที่เจ้าตัวจะหวนคืนสู่ลีกแดนซามูไรอีกคำรบเมื่อปี 1986 กับ มัตซึชิตะ หรือ กัมบะ โอซาก้า ในปัจจุบัน ซึ่งเขาเป็นทั้งนักเตะก่อนขยับเป็นผู้ฝึกสอนทีมนานกว่า 10 ปี ทำให้เขาคือนักเตะไทยที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในลีกญี่ปุ่น

ในเวลาถัดมามีนักเตะไทยมากมายก้าวไปค้าแข้งลีกญี่ปุ่น ทั้ง วรวรรณ ชิตะวณิช (แทจิน มัตสึยาม่า), พิชัย คงศรี (แทจิน มัตสึยาม่า), นที ทองสุขแก้ว (มัตสึชิตะ), รณชัย สยมชัย (มัตสึชิตะ), สมชาย ทรัพย์เพิ่ม (คอสโม่ออยล์), พิชิตพล อุทัยกุล (คอสโม่ออยล์), พงศธร เทียบทอง (คอสโม่ออยล์), ประเสริฐ ช้างมูล (คอสโม่ออยล์) และล่าสุดเมื่อปี 2008 อดุล หละโสะ (ไกนาเร่ ตอตโตริ)

อย่างไรก็ตาม หลังจากหมดยุคเฮงซังที่ก้าวไปเขย่าเวทีลีกลูกหนังแดนปลาดิบให้สั่นสะเทือนครั้งใหญ่ก็ไม่มีนักเตะไทยคนไหนเลยที่สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวกับลีกฟุตบอลที่ปัจจุบันกลายเป็นลีกอันดับหนึ่งของเอเชียได้อีกเลย ทำให้การผจญภัยค้าแข้งในเจลีกของเมสซี่เจครั้งนี้กำลังจะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ฝีเท้านักเตะไทย

ด้วยฝีเท้าอันจัดจ้านคงยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการค้าแข้งต่างแดนจำเป็นจะต้องอาศัยการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท้องถิ่น ทั้งสภาพอากาศ วัฒนธรรม อาหาร ภาษา และสิ่งรอบข้างที่แปลกใหม่ไปหมด รวมทั้งความเข้มแข็งทางจิตใจที่จะส่งผลต่อการเล่นฟุตบอลด้วย เพราะที่ผ่านมานักเตะไทยหลายคนไม่ประสบความสำเร็จในการค้าแข้งต่างแดน

เพราะปรับตัวไม่ได้ และจิตใจไม่แข็งพอ

 

ชนาธิปจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการปรับตัวให้เข้ากับการเล่นในลีกญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

โดยแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะประสบความสำเร็จมากมายเพียงใดก็จะต้องลืมไปทั้งหมด และเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง

โอกาสครั้งสำคัญของชนาธิปในเจลีกในครั้งนี้จะเป็นบันไดก้าวสำคัญในการต่อยอดไปสู่การค้าแข้งในลีกที่ใหญ่กว่าเดิมในอนาคต

แต่หากเขาก้าวพลาดขึ้นมาเพียงก้าวเดียวก็อาจจะไม่เหลือโอกาสให้แก้ตัวเป็นครั้งที่สองอีกก็เป็นได้…