อนุสรณ์ ติปยานนท์ : กลิ่นกาแฟและต้นไม้ที่เพาะปลูก

เมืองในหมอก (13)

เช้าวันนั้น นายหมอกสีเทานั่งรอผู้หญิงคนนั้นอยู่ในร้านหนังสือตั้งแต่เช้าตรู่

เมฆหมอกสีเทาครอบคลุมเมืองจนมืดมนเช่นเคย หากแต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความสว่างไสวบางประการ

เป็นความสว่างไสวภายในจิตใจของเขาเอง

หญิงสาวผู้นั้นมาก่อนเวลานัดเล็กน้อย เธอมาในชุดเสื้อยืดและกางเกงขายาวสีกากีพร้อมด้วยกระเป๋าเป้ใบขนาดย่อม

“ข้างในมีอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับเวลาพักของเรา” นายหมอกสีเทารู้สึกประทับใจในการเตรียมพร้อมของเธอ

เขาหยิบสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการปลูกต้นไม้ทั้งมีดและเสียมขนาดเล็ก ทั้งคู่เริ่มต้นออกเดินทางจากร้านของนายหมอกสีเทา อากาศยังคงเลวร้ายเช่นเดิม มีผู้คนที่นับคนได้ที่ออกมาสู่ท้องถนน

แต่พวกเขาเหล่านั้นน่าจะกลับสู่บ้านเรือนในไม่ช้า มีแต่เขาสองที่น่าจะอยู่ในโลกภายนอกตลอดวันนี้

นายหมอกสีเทาเชื่อเช่นนั้น

“เราควรไปหาสถานที่ที่จะปลูกต้นไม้ก่อน หลังจากนั้นเราจะออกแสวงหาต้นไม้ที่จะปลูกในภายหลัง” หญิงสาวผู้นั้นเอ่ย

นายหมอกสีเทาพยักหน้ารับ เขารู้สึกเหมือนดังเป็นเด็กน้อยที่กำลังติดตามครูของตนไปทำกิจกรรมในวัยเยาว์ เป็นความรู้สึกไม่ต่างจากการยอมรับอำนาจเหนือของอีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง หญิงสาวผู้นั้นช่างมีอำนาจเหนือมากมายต่อเขาซึ่งในตอนนี้เขายอมจำนนต่อมันแล้ว

หญิงสาวผู้นั้นเดินนำเขาไปตามท้องถนน ก่อนจะหยุดลงที่หน้าร้านกาแฟร้านเดิมที่ทั้งคู่เคยได้พบกัน

ในวันนั้น มีลูกค้าอยู่ไม่มากนัก แต่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนมีความแจ่มใสเบิกบานอันเป็นสิ่งที่ปรากฏในร้านแห่งนี้เสมอมา

หญิงสาวผู้นั้นเดินนำหน้านายหมอกสีเทาเข้าไปในร้าน เธอมองไปรอบๆ นายหมอกสีเทารับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังมองหาชายชราผู้เป็นเจ้าของหนังสือ 1984 แต่วันนั้น ไม่มีเขาที่นั่น ไม่มีแม้แต่เพียงเงา

ทั้งคู่เลือกโต๊ะตัวหนึ่งกลางร้านเป็นที่นั่ง นายหมอกสีเทาถามหญิงสาวผู้นั้นถึงเครื่องดื่มที่เธอต้องการ หลังจากนั้นเขาตรงไปที่เคาน์เตอร์ สั่งเครื่องดื่มให้เธอและเขาก่อนจะกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นปลดหน้ากากป้องกันมลพิษของเธอแล้ว

เขาสังเกตเห็นว่าเธอทาริมฝีปากด้วยลิปสติกเป็นสีชมพูอ่อน มันช่างงดงามราวกับกลีบดอกไม้ชนิดหนึ่งแม้ว่าเขาจะนึกชื่อของมันไม่ออกในยามนั้นก็ตาม

“ฉันมาที่ร้านแห่งนี้และได้พบกับหนังสือ 1984 เป็นครั้งแรก” หญิงสาวผู้นั้นเปรย

เธอจิบกาแฟในมืออย่างช้าๆ “เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ฉันรู้สึกได้ถึงการถูกจับจ้องและควบคุมแบบที่เราไม่รู้ตัว มีผู้ชายคนหนึ่งเล่าให้ฉันฟังถึงเรื่องราวภายในหนังสือเล่มนั้น ฉันตื่นเต้นกับความคิดที่ว่าด้วยการไม่ยอมจำนนมาก มันบอกให้ฉันรู้สึกได้ว่าเราสามารถลุกขึ้นสู้กับสิ่งที่มีอำนาจเหนือได้แม้ว่าเราจะมีอำนาจหรือพลังอันน้อยนิดก็ตามที หลังจากวันนั้นวันที่ฉันได้พบกับเขาแล้ว หลังจากวันนั้นที่ฉันได้ฟังเรื่องราวในหนังสือ 1984 แล้ว ชีวิตของฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่เหมือนเดิมอีกเลย”

นายหมอกสีเทายกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวในใจ เขาควรบอกเธอหรือไม่ว่าเขาได้พบเธอในวันนั้นด้วยและการได้พบเธอในวันนั้นก็ทำให้ชีวิตของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเช่นกัน

“หลังจากการพบกันในวันนั้น ฉันกลับไปลาออกจากงาน ใช้เวลาแต่ละวันไปกับการปลูกต้นไม้ จากหนึ่งต้นเป็นสองต้น จากสองต้นเป็นจำนวนมากมาย ในวันที่ฉันไม่ปลูกต้นไม้ ฉันจะออกเดินไปตามสถานที่ต่างๆ ค้นหาต้นไม้ที่ยังรอดชีวิต เคลื่อนย้ายมันไปเก็บไว้ยังสถานที่ที่ปลอดภัย หลายเดือนที่ฉันทำเช่นนั้นอย่างโดดเดี่ยว กระนั้นมันก็เป็นความโดดเดี่ยวที่ให้ความสุขอย่างมาก”

 

ในที่สุด เขาก็ได้ล่วงรู้แล้วว่าหญิงสาวผู้นั้นหายไปจากชีวิตของเขาเพราะเหตุใด ทำไมเธอจึงไม่ปรากฏตนที่ร้านหนังสือของเขาเร็วกว่านี้ ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่าหญิงสาวผู้นั้นได้กระทำการอะไรอยู่ ความคิดคำนึงในทางเลวร้ายต่อโชคชะตาของเขาอันตรธานสิ้น ณ วินาทีนั้น

“คุณรู้ไหม ฉันพบต้นไม้จำนวนมากที่รอดชีวิตอยู่ตามที่ต่างๆ ตามซอกมุมที่ถูกหลงลืม คุณรู้ไหมว่าต้นไม้เหล่านั้นเข้มแข็งและแข็งแกร่งกว่าเรามากเพียงใด การมีแสงแดดแม้เพียงน้อยนิดก็เพียงพอที่มันจะรอดชีวิตอยู่ได้ น้ำใต้ดินเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้มันรอดชีวิตได้ ต้นไม้เหล่านั้นเป็นดังกำลังใจให้ฉันมีชีวิตทุกวัน หากสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเคลื่อนที่ได้ยังสามารถมีชีวิตได้ในเมืองนี้ ฉันผู้ที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระย่อมต้องยิ่งมีชีวิตให้รอดต่อไป หากต้นไม้เหล่านั้นยังไม่ยอมแพ้ ฉันยิ่งไม่อาจแพ้ได้”

นายหมอกสีเทาจิบกาแฟจากแก้วของเขา “หากต้นไม้ไม่ยอมแพ้ หากสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าเราไม่ยอมแพ้ เรายิ่งไม่อาจยอมแพ้ได้”

หญิงสาวผู้นั้นเงยหน้าขึ้นจากแก้วกาแฟ เธอจ้องมองดูดวงตาของนายหมอกสีเทา

 

“ผมพบคุณที่นี่ ในวันนั้น อันที่จริงถ้าพูดให้ถูกต้อง ผมพบคุณก่อนหน้านั้น เดินตามคุณมาด้วยความรู้สึกเพลิดเพลินจนถึงที่นี่ หลังจากนั้น ผมนั่งลงตามคุณ จ้องมองคุณสนทนากับชายผู้นั้นถึงหนังสือ 1984 เราแยกจากกันที่นี่ ผมกลับไปแสวงหาสิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือ การไม่ยอมจำนน การต่อสู้อำนาจเหนือจากสิ่งที่พยายามควบคุมเรา ผมพบว่าเราอ่านหนังสือกันน้อยมากหลังจากหมอกสีเทาเข้าคลุมเมือง ด้วยเหตุนั้น ผมจึงลาออกจากงาน เปิดร้านหนังสือ ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากได้พบคุณ อ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า ขบคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาในชีวิต และสิ่งที่จะทำต่อไปในอนาคต แต่นอกเหนือจากนั้น ผมนั่งรอคุณทุกวันอย่างสงบในร้านหนังสือ เฝ้ารอว่าหญิงสาวผู้เป็นแรงบันดาลใจจะปรากฏตนเมื่อใด จนถึงเมื่อวานนี้เองที่การเฝ้ารอของผมจบสิ้นลง”

นายหมอกสีเทาเพิ่งรู้สึกได้ว่านับตั้งแต่เช้า เขาเพิ่งได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเมื่อครู่นี้เอง แต่กระนั้นมันกลับเป็นถ้อยคำที่ยืดยาวและสำคัญที่สุดนับแต่เขาได้พบกับเธอ

หญิงสาวผู้นั้นยิ้มน้อยๆ และก็ยิ้มอย่างเบิกบานในที่สุด “นี่เป็นคำบอกรักที่แปลกพิสดารมากทีเดียวสำหรับฉัน”

“มันไม่ใช่คำบอกรัก มันคือการสารภาพของที่มาแห่งอุดมการณ์ทั้งปวงของผม”

“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร สาระและใจความสำคัญของมันก็คือคุณกำลังบอกรักฉัน” หญิงสาวผู้นั้นยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม

“สายมากแล้ว เราควรไปแสวงหาสถานที่และต้นไม้เสียที”

 

หญิงสาวผู้นั้นเดินนำหน้านายหมอกสีเทาออกจากร้านกาแฟ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาตกอยู่ในอำนาจเหนือของเธอ นายหมอกสีเทาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนในที่สุด เขาก็เดินเคียงข้างกับเธอ หญิงสาวผู้นั้นหันมามองเขา “ฉันเฝ้ารอคุณมาเดินเคียงข้างนับแต่เช้า ช่างแปลกเหลือเกินที่คุณพอใจกับการเดินตามหลังฉัน มนุษย์ควรเดินเคียงข้างกัน เราควรเดินเคียงข้างกันเพื่อสนทนาหรือเพื่อแสดงความเท่าเทียมใดๆ ก็ตามแล้วแต่จะนิยาม”

นายหมอกสีเทายิ้มให้หญิงสาวผู้นั้น ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงยังสวนสัตว์ สถานที่ที่นายหมอกสีเทาได้มาที่นี่ในวันนั้นเพราะเธอ

“ทุกครั้งที่ฉันได้พบกับต้นไม้ต้นใหม่ ฉันจะนำมันมาพักไว้ที่นี่ ที่ที่เงียบสงบ มีความเขียวชอุ่มแม้ท้องฟ้าจะมีแต่ความมัวซัวก็ตามที ตามฉันมาทางนี้สิ” หญิงสาวผู้นั้นออกเดินนำหน้าอีกครั้ง

แต่เนื่องจากครานี้เธอเป็นผู้นำทาง นายหมอกสีเทาจึงพึงใจกับการเดินตามเธอไปยังทางเดินเล็กๆ ในสวนสัตว์นั้น ทั้งคู่เดินตามกันไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่ทางเดินจะสิ้นสุดลง ที่ปลายทางเดินนั้นเป็นบึงขนาดใหญ่ นายหมอกสีเทาทบทวนความทรงจำของเขาที่มีต่อสวนสัตว์แห่งนี้ มันอาจเป็นบ่อน้ำสำหรับแรดหรือสัตว์ขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันมันถูกทิ้งให้เป็นบึงร้าง นายหมอกสีเทามองไปรอบๆ บึง มันเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดทั้งที่เขารู้จักและไม่รู้จักมาก่อนเลย

“นี่คือต้นไม้ที่ฉันนำมาที่นี่ บางต้นมาฟื้นตนที่นี่ บางต้นมาเติบโตที่นี่” นายหมอกสีเทาออกเดินสำรวจต้นไม้เหล่านั้น มันแลดูแข็งแรง ใบเขียวชอุ่ม ลำต้นตั้งตรง อวบแน่น เขารู้สึกประทับใจกับการลงแรงที่จะรักษาชีวิตของต้นไม้เหล่านี้ของหญิงสาวผู้นั้นมาก

“คุณนำต้นไม้เหล่านี้ไปปลูกต่อยังที่ใด?”

“สวนสาธารณะ” หญิงสาวผู้นั้นตอบ “มีสวนสาธารณะรกร้างจำนวนมากให้เราได้ปลูกสิ่งใหม่ลงไป ต้นไม้จำเป็นต้องมีการดูแล การขาดผู้คนที่ห้อมล้อมหรือชื่นชมมัน นั่นคือวาระสุดท้ายของต้นไม้อย่างแท้จริง”

นายหมอกสีเทาเก็บใบไม้สีเหลืองอ่อนใบหนึ่งขึ้นจากพื้น เขามองดูมันในฐานะของสิ่งที่หมดอายุขัย กระนั้นมันก็มีความงามที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดปรากฏอยู่ หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยถามเขา “คุณอยากไปปลูกต้นไม้ที่สวนสาธารณะใดเป็นพิเศษไหม? ไม่ไกลจากนี้ ฉันรู้จักสวนแห่งหนึ่ง แม้ว่าดินที่นั่นจะมีคุณภาพเลวร้าย แต่ฉันเชื่อว่าเราจะปลูกต้นไม้จากที่นี่ได้แน่นอน”

“ร้านหนังสือของผม” นายหมอกสีเทากล่าว “ผมอยากปลูกต้นไม้มากที่สุดเท่าที่จะปลูกได้ที่ร้านหนังสือของผม”