ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
ลิเกจากมลายู
‘ออกแขก’ แบบอินเดีย
ลิเก มีต้นทางจากดิเกร์ของมลายูปัตตานี เป็นการละเล่นสวดแขก (หมายถึงสวดสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าศาสนาอิสลาม) ผสมสวดไทย (หมายถึงสวดคฤหัสถ์) แล้วปรับเล่นเป็นละครชาวบ้าน (หมายถึงละครชาตรี) ร้องเองรำเองด้วยลักษณะสร้างสรรค์ใหม่
เมื่อเล่นเป็นละครไม่เหลือร่องรอยสวดแขกเหมือนตอนแรกเริ่ม แต่ลิเกยังรักษาออกแขกเป็นพยานว่ามีต้นตอจากแขก ซึ่งหมายถึงแขกมลายูปัตตานี
แต่ออกแขกลิเก ผู้เล่นแต่งตัวเลียนแบบ “อาบัง” แขกอินเดียขายถั่ว กับแปลงคำร้องเพี้ยนจากภาษาแขกอินเดีย “ขายผ้า” ทั้งนี้จะด้วยความไม่รู้จริงๆ ว่าลิเกมาจากแขกมลายู หรือเพราะมีอคติต่อมลายูมุสลิมก็ตามที แต่ได้ทำให้สิ่งคลาดเคลื่อนกลายเป็นขนบหรือจารีตที่ถูกต้องไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้แล้วเพราะลิเกเลิกออกแขกเป็นส่วนมาก
ถ้าจะมีออกแขกบ้างก็ร้องส่งเสียงหลังม่านในโรง โดยไม่แต่งตัวเป็นแขกอาบังออกเล่นหน้าโรงเหมือนแต่ก่อนๆ
[ในวงสนทนาหน้าข้าวหน้าเหล้าหลังโรงละครแห่งชาติเมื่อหลายสิบปีมาแล้วของคนเล่นโขนละครลิเก ผมเคยได้ยินครูผู้ใหญ่ทางนาฏศิลป์พูดว่าพวกออกแขกลิเกสมัยก่อนทำเลียนแบบแขกอินเดียขายถั่วขายผ้าแถวพาหุรัด (เท็จจริงไม่ประจักษ์ พระพุทธเจ้าข้าเอย)]
แขกรดน้ำมนต์
ออกแขก มีต้นตอจากเล่นแขกรดน้ำมนต์ หมายถึง ผู้แสดงลิเกแต่งตัวเป็นแขกออกหน้าเวทีโรงแสดง เพื่อบอกกล่าวเรื่องราวที่ลิเกจะแสดงต่อไป สุรพล วิรุฬห์รักษ์ (หรือเรียกกันในกลุ่มผู้เคารพนับถือว่า “ดร.ลิเก”) บอกไว้ในงานวิจัยเรื่องลิเก ดังนี้
“การออกแขกแต่เดิมเรียกว่าชุดแขกรดน้ำมนต์ แต่ไม่ได้มีการรดน้ำมนต์ เป็นแต่เพียงการออกมาร้องอวยพรและบอกวัตถุประสงค์ของการแสดงในคืนนั้นให้คนดูทราบ
แขกแต่งตัวเป็นชาติอินเดีย นุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อขาว สวมหมวกหนีบ ถือเทียนใหญ่ 1 เล่มในมือขวาออกมาร้องอวยพรด้วยเพลงทำนองต่างๆ เช่น เพลงซัมเซ และ บุหรันยาวา เป็นต้น (นายพร ภิรมย์ เล่าว่า เมื่อแขกเลิกถือเทียนก็ยังติดชูนิ้วหัวแม่โป้งตามลักษณะที่ถือเทียนอยู่ดี คนรุ่นหลังไม่รู้มักว่าเป็นท่าของแขก) จากนั้นก็เป็นการซักแขก มีนายโรงออกมาซักแขกถามว่าแขกมาทำไม แต่พูดกันไม่รู้เรื่องต้องเรียกตัวตลกออกมา 2 คน ช่วยกันซักแขกว่าเป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร เป็นการแสดงทางตลก
เมื่อซักถามกันจนได้ความว่าแขกจะเอาลิเกมาเล่นเรื่องอะไรในคืนนั้นแล้วก็จะพากันเข้าโรงไป ปล่อยให้แขกร้องอวยพรส่งท้ายอีกครั้งหนึ่งเป็นอันเสร็จขบวนการออกแขก ต่อจากนั้นก็ดำเนินการแสดงอย่างละคอนต่อไป”
เนื้อร้องออกแขก
เนื้อร้องออกแขกที่ได้รับยกย่องเป็นแบบฉบับ แล้วใช้ทั่วกันทุกคณะลิเกไปดัดแปลงบางตอนเป็นของตน ล้วนมาจากสำนวนแต่งโดย ฉลาด เค้ามูลคดี ลิเกคนสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ลิเกไทย ดังนี้
สลามมาน้า ฮัดช้าสาเก
ปลาดุกกระดุกกระดิก เอาไปผัดพริกอร่อยดีเฮ
ปลาไหลมันอยู่ในรู ส่วนปลาทูอยู่ในทะเล
สุราแปลว่าเหล้า กินแล้วเมาต้องเดินโซเซ
ฮั้ลเลวังกา ฉลาดเขามาเล่นลิเก
โดย ฉลาด เค้ามูลคดี [พ.ศ.2465-2522] แต่งหลัง พ.ศ.2487
[จากข้อเขียนเรื่อง “ฉลาด เค้ามูลคดี : ทศกัณฐ์คนแรกของโรงเรียนศิลปากร” โดย ดุษฎี เค้ามูลคดี พิมพ์ในนิตยสารศิลปากร ของกรมศิลปากร ปีที่ 62 ฉบับที่ 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2562) หน้า 69-77]
ซักแขก
เล่นออกแขกต้องมีซักแขก โดยเจรจาตอบโต้เน้นตลกสนุกสนานคาบลูกคาบดอก มีตัวอย่างจากสุรพล วิรุฬห์รักษ์ (ในหนังสือลิเก พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2522) จะคัดบางตอนมาดังนี้
ตัวตลก 1 สวัสดี อาบัง
แขก กาโหน่าฮี
ตัวตลก 2 เฮ้ว ไอ้แขกฉิบหาย เห็นหน้ากูเป็นสีไปแล้วมั้ยล่ะ
แขก ไม่ช่าย อีนี้กาโหน่าฮีเป็นภาษาแขกแปลว่าสวัสดี
ตัวตลก 2 อ้าวใครจะไปรู้ นึกว่าจู่ๆ มาเห็นหน้ากูเป็นไอ้นั่น
ตัวตลก 1 ดู๋ ดู แล้วดูซินั่นดันเสือกจุดเทียนออกมาด้วย ไอ้บังมึงจุดเทียนมาทำไม
ตัวตลก 2 สงสัยจุดเทียนออกมากันหน้ามืดมั้ง
แขก อีนี้ไม่ได้ซินาย หน้ามืดก็ติดคุกซินาย
ตัวตลก 2 โธ่โว้ย ไอ้บังบ้า กูหมายความว่าหน้ามืดมันดำต้องเอาเทียนส่อง—-
—-
นายโรง อ้าว แล้ววันนี้มาทำอะไรไม่ไปขายถั่ว
แขก วันนี้แขกจะเอาลิเกมาแสดง
นายโรง อ๋อ งั้นเรอะ วันนี้จะแสดงเรื่องอะไรล่ะ
แขก วันนี้จะแสดงเรื่อง—–
นายโรง เอ้า งั้นก็เริ่มแสดงกันเลย
(นายโรงและตัวตลกทั้งสองเข้าโรง)
แขก เห่ เฮ เฮ เฮ้ เฮเห่เฮ เฮเห่เฮ เฮเห่เฮ เฮ้เฮเฮเฮ
สะลามมานา ฮัดชาซาเก
—– —-
(สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ดัดแปลงมาจากการออกแขกลิเกเรื่องจันทโครพ ณ โรงละครแห่งชาติ ในรายการศรีสุขนาฏกรรม วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2522)