รายงานพิเศษ / ‘เพนตากอน’ ยุค ‘บิ๊กตู่’ ฟิตเป๊ะ ส่องทีม ‘สนามไชย 1’ จับตากลาโหม ขัดตาทัพ จับตา ‘บิ๊กแดง’ หลังเกษียณ

รายงานพิเศษ

 

‘เพนตากอน’ ยุค ‘บิ๊กตู่’ ฟิตเป๊ะ

ส่องทีม ‘สนามไชย 1’

จับตากลาโหม ขัดตาทัพ

จับตา ‘บิ๊กแดง’ หลังเกษียณ

แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ที่ใครๆ ก็พยากรณ์ว่า จะอายุสั้น อยู่ได้แค่ 6 เดือน หรือ 1 ปี อย่างเก่งไม่เกิน 2 ปีก็ตาม

แต่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นั้น พกความมั่นใจแบบผู้นำทางทหารมาเต็มกระเป๋า ที่จะอยู่ครบเทอม 4 ปี

อย่าลืมว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการออกแบบมาอย่างแยบยล จนนักการเมืองพรรคพลังประชารัฐบางคนระบุว่า “ออกแบบมาเพื่อพวกเรา”

แถมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำได้ไม่ง่าย แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะเอ่ยปากว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นจุดยืนและนโยบายที่หาเสียงไว้ของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ระบุไว้ในนโยบายรัฐบาล เพียงแต่เปิดช่องไว้กว้างๆ

ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นลีลาที่พลิ้วไหวของนักการเมืองลายพรางอย่าง พล.อ.ประยุทธ์

ไม่แค่นั้น ยังมี “ตัวช่วย” อีกมากมาย ตามกลไกและองค์กรต่างๆ ที่ถูกมองว่า เป็นกองหนุนของ  คสช. จนมาถึงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์

โดยเฉพาะ “กองหนุนพิเศษ” และกองหนุนลายพราง อย่างกองทัพทั้งกองทัพ ที่ล้วนเต็มไปด้วย ผบ.หน่วยขุมกำลังรบ ที่เป็นน้องรัก เด็กในคาถา ที่วางจ่อไว้ทั้งสิ้น

 

แม้สถานภาพหัวหน้า คสช.และมาตรา 44 จะสิ้นสลายลงไปเมื่อ 17.00 น.วันที่ 16 กรกฎาคม 2562 วันที่รัฐบาลใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนแล้วก็ตาม

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ระบุในสารหัวหน้า คสช.ฉบับสุดท้าย ว่า บัดนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ขั้นตอนของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์ มีสภาผู้แทนราษฎรซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากความเห็นชอบของรัฐสภา สิทธิเสรีภาพต่างๆ ได้รับหลักประกันคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญตามแบบอย่างนานาอารยประเทศ ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขตามกฎเกณฑ์ปกติในระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีอำนาจพิเศษใดๆ อีกต่อไป”

“สิ่งที่ คสช. รัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ดำเนินการสอดประสานกันในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น หลายเรื่องน่าจะเป็นรากฐานให้รัฐบาลใหม่ ซึ่งจะเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ของประชาชนชาวไทยทุกคน ที่ไม่มีการแบ่งแยกภาคหรือจังหวัด หรือแบ่งพื้นที่ตามฐานเสียงพรรคการเมืองใดๆ…” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขรม

แต่ทว่า หลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่าน ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เป็นไปดั่งเช่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

สถานภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะไม่ได้เป็นหัวหน้า คสช. ไม่มีมาตรา 44 ไม่มีอำนาจพิเศษใดๆ แล้ว แต่ก็ยังถือว่า ไม่ใช่นักการเมือง จากทหารธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป แต่เป็นทหารนักการเมืองพันธุ์พิเศษ ที่มีพลังความแข็งแกร่ง และพลังพิเศษ

จึงไม่แปลกที่บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พี่ใหญ่ ที่สละเก้าอี้ รมว.กลาโหม ให้ พล.อ.ประยุทธ์นั่งควบ เพิ่มความสตรองให้เก้าอี้นายกฯ จะบอกว่า ไม่เป็นห่วง และเชื่อมือการคุมกลาโหมของ พล.อ.ประยุทธ์

ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.อ.ประยุทธ์นั่งควบเก้าอี้ รมว.กลาโหมด้วยหตุผลใดกันแน่ และจะนั่งไปตลอดเทอม หรือว่าจะเป็นแค่ รมว.กลาโหมขัดตาทัพ ในระหว่างที่กำลังคัดสรรบิ๊กทหาร บางคนที่เหมาะสม มาเป็น รมว.กลาโหมตัวจริง

ด้วยเพราะก่อนที่โผ ครม.จะลงตัวที่ พล.อ.ประยุทธ์ควบ รมว.กลาโหมเองนั้น มีข่าวสะพัดถึงชื่อของอดีตบิ๊กทหารที่เป็นองคมนตรีหลายท่าน จะได้ลาออกมาเป็น รมว.กลาโหม

แต่ที่สุดก็เป็นแค่ข่าวลือ

 

แต่กระแสข่าวที่มาแรงต่อจากนั้นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์นั่งควบ รมว.กลาโหมไปพลางก่อน เพื่อเก็บเก้าอี้นี้ไว้รอบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่จะเกษียณราชการ 30 กันยายน 2563

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพราะสายสัมพันธ์ที่สุดแนบแน่น พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.อภิรัชต์ เท่านั้น

แต่เพราะสถานภาพพิเศษของ พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยว่าเป็นผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) นายทหารพิเศษประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และคณะกรรมการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ด้วย

การที่ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่จะต้องวางมือจากการคุมกระทรวงกลาโหมนั้นอาจไม่ใช่แค่เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงเหตุผลเดียว เพราะไม่เช่นนั้น พล.อ.ประวิตรก็คงไม่ต้องรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงต่อ

เพราะจะว่าไปแล้ว การควบ รมว.กลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่งนั้น ก็ไม่น่าจะหนักมากเกินกว่าที่ พล.อ.ประวิตรจะทำได้ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจการประชุมและรับแขก ที่ก็สามารถมอบให้บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม รับผิดชอบแทนเช่นที่ผ่านมาก็ได้

แต่ พล.อ.ประวิตรระบุว่า จะเป็นการเอาเปรียบ รมช.กลาโหม ดังนั้น ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรจึงมาประชุมและรับแขกเอง รวมถึงไปประชุมในต่างประเทศด้วยตนเอง

 

อีกเหตุผลหนึ่ง เนื่องจากกองทัพอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างและภารกิจใหม่ ในช่วงเปลี่ยนรัชกาล จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์มีบทบาทสำคัญในการทำให้กองทัพสมาร์ต เป๊ะ มีระเบียบวินัย แบบเข้มข้น

รวมทั้งการฝึกหลักสูตรต่างๆ ที่เป็นหลักสูตรพระราชทาน ที่เริ่มตั้งแต่ หลักสูตรทหารใหม่พระราชทาน หลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร (ร.ด.) รร.นายร้อย จปร. และการแสดงทางทหารประกอบดนตรี “ราชวัลลภ เริงระบำ” Hop to the Bodies Slams และทหารกองเกียรติยศ ที่มีการฝึกและมีการแข่งขันกันทั้ง 3 เหล่าทัพ รวมทั้งการฝึกต่างๆ ที่จะมีขึ้นอีกตามพระราโชบาย

เหล่านี้จึงทำให้บทบาทของ พล.อ.อภิรัชต์ มากกว่าการเป็นแค่ ผบ.ทบ.ที่คุมแต่กองทัพบกเท่านั้น แต่ทุกเหล่าทัพก็กำลังปรับเปลี่ยนโฉม

โดยเฉพาะเมื่อทั้งปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.เหล่าทัพ รวมทั้ง ผบ.ตร. และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ไปฝึกหลักสูตรนายทหารราชองครักษ์ (นรอ.) ระยะเวลา 2 สัปดาห์กันมา ที่ได้รับการฝึกระเบียบวินัย พิธีการต่างๆ ที่เป็นของรัชกาลปัจจุบัน

รวมทั้งการท่องบทกลอนต่างๆ ตามแบบฉบับของทหารฝ่ายใน ก่อนที่จะเริ่มต้นการฝึกและการปฏิบัติในขั้นตอนต่างๆ และการฝึกทางทหาร

โดยบิ๊กทหารทุกคนที่เข้ารับการฝึกอบรม จะถือว่ามีความเสมอภาคกันหมด เพราะถือว่าในระหว่างการฝึกทุกคนจะไม่มียศ ต้องดูแลตัวเอง ทั้งการทานอาหารแบบถาดหลุม และที่นอนหมอนมุ้ง

ที่ทำให้นายทหารเหล่านี้ได้ย้อนรำลึกเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนเตรียมทหาร หรือ รร.นายร้อยแต่ละเหล่าทัพ ทำให้หลายคนฟิตขึ้น รูปร่างดีขึ้น สมาร์ตขึ้น และมีระเบียบวินัย เป๊ะ แบบอัตโนมัติ ตลอด 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

โดยที่ พล.อ.อภิรัชต์ไม่ได้แค่ทำหน้าที่ผู้รับการฝึกอบรมเท่านั้น แต่จะทำหน้าที่ครูฝึกด้วย

ทั้งหมดนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความเป๊ะของทหารทุกเหล่าทัพ ทั้งกองทัพ รวมทั้งตำรวจด้วย

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงมีส่วนที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรซึ่งมีอายุมากถึง 74 ปี และสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง อาจไม่คล่องตัวนักในยุคการเปลี่ยนผ่านกองทัพ

พล.อ.ประยุทธ์ที่มีความแข็งแรงคล่องตัวกว่า จึงทำหน้าที่เป็น รมว.กลาโหมแทน

แต่ที่สุดก็ทำให้ชื่อของ พล.อ.อภิรัชต์กลายเป็นแคนดิเดต รมว.กลาโหมในอนาคตอันใกล้

จนกลายเป็นข่าวสะพัดที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะนั่งควบ รมว.กลาโหมแค่ชั่วคราว เพื่อรอ พล.อ.อภิรัชต์เกษียณราชการ

แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรกซ้อน พล.อ.ประยุทธ์ก็สามารถควบ รมว.กลาโหมไปตราบเท่าที่นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้

เพราะเชื่อกันว่า เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์เกษียณราชการ ก็คงไม่รับตำแหน่งทางการเมือง แต่อาจทำหน้าที่ในการถวายงานในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งต่อไป

 

ขณะที่บางกระแสให้จับตามองอนาคตของ พล.อ.อภิรัชต์หลังเกษียณราชการในกันยายน 2563 และสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้น

สิ่งที่เคยพูดกันเล่นๆ ในกองทัพว่า ผบ.ทบ.อาจไปเป็นนายกรัฐมนตรีในวันใดวันหนึ่ง และโดยที่ไม่ต้องมีการปฏิวัติรัฐประหาร อาจเกิดขึ้นก็เป็นได้ นั้นอาจกลายเป็นจริง

อย่าลืมว่า พล.อ.อภิรัชต์ถูกสังคมจับตามองว่า การที่เขาเป็นลูกชายของบิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธาน รสช. ผู้นำรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 นั้น ตัวเขาจะเดินตามรอยบิดาหรือไม่

หลังจากที่เดินตามรอยบิดาในการเป็นนักบิน ทบ. และบิดาที่เคยเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ส่วน พล.อ.อภิรัชต์ได้เป็นถึง ผบ.ทบ.

ด้วยเพราะไม่มีใครอาจหยั่งรู้สถานการณ์ในอนาคต ว่าจะไปสู่จุดใด หากไม่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง พล.อ.ประยุทธ์ก็จะอยู่ไปได้เรื่อยๆ ด้วยตัวช่วยและกองหนุนพิเศษที่มีอยู่

แต่ที่น่าจับตามองคือ พร้อมๆ กับการมาเป็น รมว.กลาโหมของ พล.อ.ประยุทธ์ และการสิ้นสลายของ คสช. และเก้าอี้เลขาธิการ คสช.นั้น พล.อ.อภิรัชต์ประกาศที่จะเลิกยุ่งเกี่ยวการเมือง และไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องการเมือง แต่จะทำงานในเรื่องของกองทัพ

อาจเป็นการสะท้อนถึงแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่ต้องการให้ ผบ.เหล่าทัพออกมาให้สัมภาษณ์แบบรายวัน ให้การเมืองกระเพื่อม โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ ที่พูดทีไรก็ขึ้นข่าวพาดหัวหน้า 1 เสมอ

เพราะสไตล์ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็น One Man Show ในฐานะผู้นำประเทศ ต้องเสียงดังที่สุด พูดอะไรคนต้องฟัง

จนเมื่อครั้งที่มีโปรดเกล้าฯ ตั้ง พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ทบ. ที่สื่อเสนอข่าวกันอย่างครึกโครมนั้น พล.อ.ประยุทธ์ถึงขั้นเหน็บสื่อว่า เสนอข่าวกันอย่างกับ พล.อ.อภิรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว

 

การควบ รมว.กลาโหมของ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลก หาก ผบ.เหล่าทัพ หรือ พล.อ.อภิรัชต์จะไปพบหารือถึงที่ทำเนียบรัฐบาล เช่นเมื่อครั้งที่เป็นหัวหน้า คสช.

แต่คาดกันว่า กระทรวงกลาโหมคงเงียบเหงาในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ที่คงจะไม่ได้มานั่งทำงานที่กลาโหม แต่จะมาประชุมสภากลาโหมเดือนละครั้ง และตามประเพณี ก็ต้องมาตรวจเยี่ยมกลาโหมและเหล่าทัพเพื่อมอบนโยบาย

ส่วนการรับแขกต่างประเทศของ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ก็คงจะไปรับที่ทำเนียบรัฐบาล หรือมอบหมายให้บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม รับแทน

โดยเรื่องสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์สั่งการไว้คือ การจัดการแข่งขันการวิ่งในภูมิประเทศ หรือ Trail Running ที่ต้องการให้ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ประชาชน มาร่วมกิจกรรม เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย เพิ่มความฟิต

โดยให้กระทรวงกลาโหมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ปีละ 4 ครั้ง โดยเริ่มจาก ที่ จ.กาญจนบุรี ในกลางเดือนกันยายนนี้ ตามเส้นทางประวัติศาสตร์ สงครามเก้าทัพ ทุ่งลาดหญ้า

จากนั้น สนามที่ 2 เล็งไปที่ภาคเหนือ ที่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ หรือเชียงราย ในช่วงต้นปี 2563 และสนาม 3 ไปที่อีสาน ขอนแก่น และภาคใต้ที่สงขลา เป็นสนามที่ 4

ที่จะส่งผลให้ ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.หน่วยราชการต่างๆ ต้องฟิต ดูแลสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกายตลอด เช่นที่บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. จัดการแข่งขันไตรกีฬา นาวีเฉลิมพระเกียรติ ตลอดปี 5 สนาม โดยแข่งไปแล้ว 4 สนาม โดยที่ ผบ.ทร.และ ผบ.หน่วยลงไปจนถึงระดับผู้บังคับการเรือหลวง ต้องลงแข่งขันด้วยกันหมด

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงความสตรอง และฟิต เปรี๊ยะ ของ พล.อ.ประยุทธ์ วัย 65 ปีอีกด้วย ส่วนปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.เหล่าทัพนั้น ล้วนฟิตร่างกายอยู่แล้ว

 

นอกจากยุคเปลี่ยนผ่าน ที่ทำให้กองทัพต้องเป๊ะมากขึ้นแล้ว การที่ พล.อ.ประยุทธ์มาคุมกองทัพเอง ยิ่งทำให้กองทัพต้องอยู่ในแถวในแนวมากขึ้น

เพราะนอกจาก พล.อ.อภิรัชต์งดพูดการเมืองแล้ว ในการประชุม ผบ.เหล่าทัพ และคณะผู้บัญชาการทหารครั้งแรก เมื่อมีรัฐบาลใหม่ 18 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ก็งดการนำ ผบ.เหล่าทัพยืนแถลงข่าว แต่มอบทีมโฆษกกองทัพแถลงแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบเรื่องการเมือง

พล.อ.ประยุทธ์มีแผนที่จะเข้ากระทรวงกลาโหมวันแรก 19 กรกฎาคม แต่เลื่อนออกไป เพราะ ผบ.เหล่าทัพบางคนมีกำหนดไปต่างประเทศ

แต่ พล.อ.ประยุทธ์เตรียมที่จะหารือเรื่องการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายทหาร ในฐานะ รมว.กลาโหมคนใหม่ และมีกำหนดที่จะทำโผแรกเสร็จ 1 สิงหาคมนี้

จากนั้น จะให้ พล.อ.ประวิตรเป็นคนดูแลการจัดทำโผโยกย้ายทหารในภาพรวมตามเดิม

หากโผลงตัว ไม่มีความขัดแย้ง ก็ไม่ต้องถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เชื่อเสมอว่า บิ๊กป้อมดูแลได้

แต่การมีทั้งพี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อม และ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ ผบ.เหล่าทัพเกรงใจคูณสอง

ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง ยอมกันได้ ก็ยอม แต่ถ้ายอมไม่ได้ เช่น ตำแหน่ง ผบ.สส.คนต่อไป ก็ต้องถึงมือนายกฯ ตัดสิน

โชคดีที่กองทัพในยุคนี้ไม่ได้มีความแตกแยกรุนแรงใดๆ จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตัองระวังหลังมากนัก

  แถมทั้งกองทัพจะยังเป็นกองหนุนที่ทำให้รัฐบาลแข็งแกร่ง ฝ่าคลื่นลมไปได้ให้นานที่สุด ลบเสียงปรามาส รัฐบาลอายุสั้น