พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ “หวานเจี๊ยบ” ขอร้องอย่าเบื่อ “บิ๊กตู่” ยก “จีน” เผด็จการทำประชาชนรวย

แม้วันนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 และอดีตหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ จะไม่ได้มีบทบาททางการเมืองเหมือนสมัยก่อน แต่ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่มีบารมีในหมู่ผู้ใช้แรงงาน

ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวต่างๆ ของบิ๊กจิ๋วก็ยังอยู่ในความสนใจของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ประกาศต่อสาธารณะว่าแต่งงานใหม่กับสาวที่ชื่อ “อรทัย ยงใจยุทธ” (นามสกุลเดิมสรการ) อายุ 54 ปี เมื่อปีที่แล้ว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนนี้ สภากรรมการแห่งชาติจัดประชุมวาระพิเศษที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กทม. พร้อมเชิญ พล.อ.ชวลิตปาฐกถาเรื่อง “วิสัยทัศน์ในการนำพาชาติบ้านเมืองเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อสันติ”

พล.อ.ชวลิตซึ่งเพิ่งจัดงานฉลองครบรอบ 87 ปีไปเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม เกริ่นว่า ประเทศไทยมีรัฐบาลมากี่สมัยล้วนคนดีทั้งนั้น พระยาพหลฯ ไม่ดีหรือ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ไม่ดีหรือ ดีทั้งนั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ดีหรืออย่างไร

แต่ทำไมยังแก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งเมื่อแก้ปัญหาประชาธิปไตยไม่ได้ก็อย่าไปแก้ปัญหาอื่นเลย โดยเฉพาะเรื่องทุกข์สุขของประชาชนไม่ต้องพูดถึง

บิ๊กจิ๋วระบุว่า ในการสร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อย่าไปว่าเผด็จการเลว ประชาธิปไตยดี การปกครองด้วยระบอบไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการ ประชาธิปไตย สังคมนิยม หรือราชาธิปไตย มีเป้าหมายอยู่อย่างเดียว ไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่น นั่นคือเพื่อประชาชน

“ถ้าท่านทำเพื่อประชาชนไม่ต้องคำนึงถึงอย่างอื่น ให้ยึดอำนาจอีก 5 ทีก็ได้ถ้าทำเพื่อประชาชนอย่างเดียว

เห็นจีนไหม เผด็จการเต็มรูปแบบ ท่านสี จิ้น ผิง เป็นอย่างไร ตอนนี้ร่ำรวยเอาๆ เขาทำเพื่อประชาชน ไม่เห็นมาเรียกร้องอะไรเลย รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เอาไหม

ประเทศไทยมีความคิดที่ผิดพลาด คิดว่ารัฐธรรมนูญคือตัวสร้างประชาธิปไตย แม้แต่นักการเมืองและครูบาอาจารย์หลายคนก็ยังบอกว่าประชาธิปไตยต้องสร้างจากรัฐธรรมนูญที่ดี ผมเห็นในทีวีพูดกันได้ทุกวัน ทะเลาะกันทุกวัน บางคนบอกว่าประชาธิปไตยต้องเกิดจากการเลือกตั้ง อันที่จริงไม่ใช่”

พล.อ.ชวลิตบอกด้วยว่า ประชาธิปไตยเกิดจากการปกครองที่มาจากประชาชน เพื่อประชาชน และเมื่อทำให้ประชาชนร่ำรวยขึ้นก็เหมือนจีนอย่างที่เห็น เมื่อประชาชนร่ำรวยขึ้นก็จะเกิดความรู้ว่าต้องทำเพื่อประชาชนให้ดีกว่านี้ ซึ่งจะต้องทำโดยประชาชน เห็นไหม ก่อนหน้านี้มีการเดินขบวนที่เทียนอันเหมิน รัฐบาลจีนบอกใจเย็นๆ เดี๋ยวรออีกนิดหนึ่ง

แต่ตอนนี้ไม่มีการเดินขบวนแล้ว เพราะรวยเอาๆ มีเงินจนไม่รู้ว่าจะทำอะไร

ในเรื่องการปกครองจีนเวลานี้แบ่งเป็นแคว้นต่างๆ เฉินตู กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ เป็นการปกครองกันเอง เขาให้ประชาชนดูแลกันเอง มีผู้ปกครอง เสร็จแล้วผู้ปกครองทั้งหมดก็มารวมตัวกัน เป็นเซ็นเตอร์คอมมิตตี้ เป็นคณะกรรมการกลาง มีสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดียืนอยู่ และใช้กฎเกณฑ์ข้างบนที่รุนแรง เอาแน่นอน เอาจริงเอาจัง เรียกว่าเผด็จการ แต่ประชาชนเป็นอย่างไร ร่ำรวยมหาศาล ฉะนั้น อย่าไปว่าแต่เผด็จการ

“ถ้าทำเพื่อประชาชน นั่นคือหัวใจ การทำงานเพื่อประชาชน ถ้าคนมีความรู้จะบอกว่าต้องทำเพื่อประชาชนให้ดีกว่านี้อีก ต้องทำโดยประชาชน และการปกครองที่เราเรียกว่าโดยประชาชน เพื่อประชาชน เรียกว่าการปกครองของประชาชน และนี่คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย”

นอกจากนี้ พล.อ.ชวลิตยังได้หยิบยกการปกครองของสหรัฐอเมริกามาเปรียบเทียบให้เห็น โดยชี้ว่าเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมีแค่ 2 พรรค คือเดโมแครตกับรีพับลิกัน แต่ทั้งสองพรรคต่างก็พูดเรื่องเดียวกันคือประชาชน และมีมลรัฐต่างๆ ที่ปกครองตัวเอง แต่ละมลรัฐก็มีผู้ปกครองของตัวเอง ออกกฎหมายต่างกันด้วยซ้ำไป และมารวมกันที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นเซ็นเตอร์คอมมิตตี้เหมือนกัน แต่เรียกชื่อไม่เหมือนกันเพราะใช้ระบบประธานาธิบดี

ในช่วงหนึ่งของการปาฐกถา พล.อ.ชวลิตได้เล่าถึงผลงานในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ได้ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่มีโอกาสปกครองและดูแลกันเอง

วกมาเรื่องการบ้านการเมือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการตั้งรัฐบาล จะมีทางออกอย่างไรบิ๊กจิ๋วย้ำว่า “ถ้าไม่เรียนรู้ก็เหมือนเดิม นี่กี่ปีมาแล้วล่ะ 87 ปีเท่าอายุผม คนถามว่า การเมืองจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวก็เหมือนเดิม ต้องมีรัฐธรรมนูญอีกฉบับ และก็มีเลือกตั้งใหม่ แล้วก็มีทหารเข้ามาอีก แล้วก็ฉีกรัฐธรรมนูญอีก แล้วก็มีเลือกตั้ง แล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีก เขาถึงเรียก Vicious circle หมายถึงวงจรอุบาทว์ เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก”

: คิดว่าบ้านเมืองยุคนี้มีความหวังหรือไม่

อย่าไปพูดอย่างนั้น จะต้องพูดว่าความหวังนี้จะเป็นจริงได้เมื่อไหร่ ต้องให้ผู้ปกครอง ต้องให้ผู้มีอำนาจเข้าใจ เราจะไม่ใช้วิธีการรุนแรง แทนที่จะให้ปืนให้กระสุน แต่เราจะให้แต่ความรัก เหมือนสมัยที่ผมเอาคนออกจากป่า ไม่เช่นนั้นจะทำได้อย่างไร ต้องทำวิธีแบบนี้ ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่ง และแม้การเมืองไทยจะซ้ำไปซ้ำมา แต่มีวิธีแก้ไข

: ตอนนี้คนส่วนหนึ่งเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

อย่าไปเบื่อแกมากสิ ต้องใช้วิธีสอนแก ต้องทำอย่างนี้ๆ และต้องให้แกเข้าใจ ไม่ใช่ว่าฉันจะไปล้มแก จะทำลายแก แบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ก็กลับไปสู่แบบเก่าอีก

: ได้มีโอกาสคุยกับบิ๊กตู่บ้างไหม

คนละเรื่องกัน เขาอยู่ระดับบนระดับสูง เราอยู่ของเราอย่างนี้

: คิดว่าการมีพรรคใหม่ๆ จะเป็นความหวังได้หรือไม่

มันไม่ได้อยู่ที่พรรค แต่อยู่ที่ความเข้าใจ ไม่ใช่มีพรรคที่ดี ไม่ใช่มีคนที่ดี ไม่ใช่มีทหารที่ดี ไม่ใช่ ที่ผ่านมาก็มีแต่คนดีไม่มีเสีย แต่ปัญหาอยู่ที่ความไม่เข้าใจ ต้องเน้นเรื่องความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย อย่างเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นความเข้าใจผิด รัฐธรรมนูญไม่ได้สร้างประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต่างหากที่สร้างรัฐธรรมนูญ

: มีอะไรจะฝากถึงนักการเมืองบ้าง

ผมว่าเขาก็เป็นนักการเมืองที่ดี เพียงแต่ไม่เข้าใจกัน ต้องให้เขาหันกลับไปดู 87 ปีที่ผ่านมา ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แทนที่จะไปโทษคนโน้นคนนี้

บิ๊กจิ๋วกับอรทัย “เมียที่ดี”“เขาเกิด 24 มิถุนายนผมเกิด พ.ศ.2475″

หลังเสร็จจากการปาฐกถาดังกล่าว “มติชนสุดสัปาดห์” ได้สนทนากับบิ๊กจิ๋วในหลายเรื่องหลายประเด็น โดยมีคุณอรทัยภรรยาสาวนั่งอยู่ข้างๆ และสังเกตเห็นในช่วงขึ้น-ลงบนเวทีจะมีคนสนิทคอยช่วยพยุง ขณะเดียวกันในระหว่างที่พูดจะมีบอดี้การ์ดสวมชุดสูทพร้อมแว่นตาดำยืนประกบอยู่ข้างหลังหลายคน

ในช่วงสั้นๆ ของการสนทนาเริ่มจากวิธีดูแลสุขภาพ เจ้าตัวตอบแบบอารมณ์ดีว่า “ต้องหาเมียที่ดี (หัวเราะ) วัยนี้จะดูแลตัวเองลำบาก ต้องหาคนดูแล ปัจจุบันนี้สุขภาพก็ดี แต่คนอายุ 87 ปีก็แบบนี้”

ถามต่อว่า การแต่งงานกับภริยาคนปัจจุบัน เพื่อให้มาดูแลสุขภาพใช่ไหม พล.อ.ชวลิตตอบชัด “ไม่ใช่…เป็นดวงชะตา เขาเกิดวันที่ 24 มิถุนายน ผมเกิด พ.ศ.2475 (หัวเราะ)”

ประโยคนี้ พล.อ.ชวลิตพูดแบบให้คนฟังคิดรวมกันว่า วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ตรงกับวันเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยพอดี

ทั้งนี้ ช่วงที่คุยกัน คุณอรทัยช่วยตอบในบางเรื่อง อย่างที่ถามว่าสรุปแล้วอายุห่างกันกี่ปี พล.อ.ชวลิตพูดติดตลกว่า…2 ปี (หัวเราะ) แล้วหันไปถามภรรยาว่ากี่ปี คุณอรทัยบอกว่า 33 ปี