สัมพันธ์สหรัฐ-รัสเซีย เรื่องหวานๆ ของทรัมป์กับปูติน

แม้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะจบลงไปนานแล้ว ด้วยชัยชนะของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ที่มีชัยเหนือคู่แข่งคนสำคัญจากเดโมแครต อย่าง นางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ และยังเป็นอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ ชนิดที่เรียกว่า “ช็อกโลก” กันไป

แต่ดูเหมือนว่า สงครามครั้งนี้ยังไม่สงบ เมื่อประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ออกคำสั่งขับเจ้าหน้าที่การทูตของรัสเซีย 35 คน ออกนอกประเทศสหรัฐ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์อำนวยการข่าวกรองหลักของกองทัพรัสเซีย หรือจีอาร์ยู และเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงกลางรัสเซีย หรือเอฟเอสบี และเจ้าหน้าที่จากบริษัทที่ให้ความช่วยเหลือจีอาร์ยู

ที่สหรัฐเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจารกรรมบนโลกไซเบอร์ หรือเรียกกันว่า การแฮ็กข้อมูลในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จนนำไปสู่การพ่ายแพ้การเลือกตั้งของ นางฮิลลารี คลินตัน

โดยแถลงการณ์ของโอบามาระบุว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นปฏิบัติการเพื่อตอบโต้พฤติกรรมที่ก้าวร้าวของรัฐบาลรัสเซียที่เป็นการคุกคามต่อเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกาและปฏิบัติการบนโลกไซเบอร์ที่มีเป้าหมายในเรื่องการเลือกตั้งของสหรัฐ

และว่า การกระทำเหล่านี้มีขึ้นหลังจากการเตือนทั้งที่เป็นการเตือนแบบส่วนตัวและการเตือนในที่สาธารณะ ที่มีต่อรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งถือเป็นการกระทำที่จำเป็นและเหมาะสมที่มีต่อความพยายามอันเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา ด้วยพฤติกรรมที่ละเมิดต่อบรรทัดฐานระหว่างประเทศ

พร้อมระบุด้วยว่า ชาวอเมริกันทุกคนควรจะได้รับการแจ้งเตือนเรื่องอันตรายที่เกิดจากพฤติกรรมของรัสเซีย ที่มีจุดประสงค์เพื่อแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ โอบามายังสั่งปิดที่ทำการด้านการทูตของรัสเซีย 2 แห่งในสหรัฐ คือที่รัฐแมรีแลนด์ และที่นิวยอร์ก ซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย พร้อมกันนี้ ยังได้สั่งขับเจ้าหน้าที่การทูตของรัสเซีย 35 คน ออกนอกประเทศภายในเวลา 72 ชั่วโมง

เพราะเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการจารกรรมข้อมูลในสหรัฐ

AFP PHOTO / KENA BETANCUR

เหล่านี้ นำไปสู่การเดินทางออกนอกประเทศของเจ้าหน้าที่การทูตของรัสเซีย 35 คน ตามคำสั่งดังกล่าว โดยทั้งหมดเดินทางออกจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ด้วยเครื่องบินพิเศษของสายการบินรอสซิยา ซึ่งเป็นสายการบินที่ประธานาธิบดีรัสเซียและเจ้าหน้าที่ของทางการรัสเซียใช้ เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา

ดูจะเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ไม่ค่อยสวยหรูเท่าไหร่ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย ซึ่งทางการรัสเซียเองยังคงยืนยันที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการแฮ็กข้อมูลการเลือกตั้งเพื่อผลประโยชน์ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์

โดย นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของรัฐบาลรัสเซีย ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐ พร้อมกับระบุว่า รัฐบาลโอบามากำลังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียที่ตกต่ำอยู่แล้วให้แย่ลงไปอีก และว่า รัฐบาลมอสโกจะดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างพอสมควรตามหลักการต่างตอบแทน

เปสคอฟ กล่าวด้วยว่า ปูตินจะพิจารณาในประเด็นที่ว่ารัฐบาลโอบามา มีเวลาเหลืออยู่เพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลรัสเซียจะไม่ทำตัวเซ่อซ่าในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน ด้วยหวังว่า สองประเทศจะมีความสัมพันธ์กลับมาเป็นปกติเมื่อทรัมป์ขึ้นเป็นผู้นำประเทศสหรัฐ

REUTERS/Kim Kyung-Hoon

หากแต่เรื่องราวกลับดูไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนคิด เพราะกลายเป็นว่าผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ประกาศจะไม่ตอบโต้คำสั่งของโอบามา แถมยังขอเดินหน้าสานสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาต่อไป ภายใต้การนำของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 หลังการสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคมนี้ด้วย

โดยปูตินระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ว่า รัสเซียจะไม่ขับเจ้าหน้าที่สหรัฐคนไหนเลยออกจากประเทศ และยังได้เชิญให้ลูกๆ ของบรรดานักการทูตสหรัฐในรัสเซีย เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองปีใหม่ที่จัดขึ้นที่ทำเนียบประธานาธิบดีเครมลิน

พร้อมระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวพิจารณาจากเหตุผลว่าฝ่ายบริหารของนายทรัมป์เตรียมที่จะเข้ารับตำแหน่งในเร็วๆ นี้

ส่วนทรัมป์เอง ก็ออกมาแสดงความชื่นชมการตัดสินใจของปูตินว่า เป็นเรื่องที่ “ฉลาดมาก” แถมยังบอกด้วยว่า ชาวอเมริกันควรจะต้องเดินหน้าใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป มากกว่าที่จะไปหาทางคว่ำบาตรรัสเซีย

แม้ว่า ท่าทีของทรัมป์ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ทำไมถึงไปเข้าข้างคนที่พยายามจะก่อกวนการเลือกตั้งในสหรัฐ

แต่ทรัมป์ก็ออกมาชี้แจงว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการแฮ็กข้อมูลว่า แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะพิสูจน์

และยังบอกด้วยว่า เราไม่สามารถไว้ใจคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับข้อมูลที่มีความอ่อนไหวได้เลย

ก่อนจะตบท้าย แนะนำให้คนหันมาใช้กระดาษกับปากกา แทนที่จะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ “เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนเลยที่ปลอดภัย”

จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยเผยแพร่จดหมายจากปูติน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่มีข้อความระบุว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐ ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการประกันเสถียรภาพและความมั่นคงของโลกยุคใหม่” และเรียกร้องให้ฟื้นกรอบความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่างๆ ที่ยังคงมีความเห็นต่างระหว่างกันอยู่ให้กลับคืนมา

ซึ่งทรัมป์เองก็ออกมาตอบรับต่อท่าทีอันดีของผู้นำรัสเซีย โดยระบุว่า จดหมายดังกล่าวเป็นจดหมายที่ดีมาก และยังบอกด้วยว่า ปูตินคิดถูกต้องแล้ว และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำตามความคิดนี้ได้

เรียกได้ว่า การที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐ นอกจากจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการการเมืองของสหรัฐแล้ว อาจจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียที่ในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดหลังสิ้นสุดสงครามเย็น ให้กลับมาดีขึ้นชนิดที่ใครหลายคนคาดคิดไม่ถึงก็เป็นได้