เลือดใหม่ไทยแลนด์! เมื่อ”บิ๊กแดง” สร้าง “นศท.ยุคใหม่” ตีคู่ “สาวกฟ้ารักพ่อ”?

เลือดใหม่ไทยแลนด์! “บิ๊กแดง” สร้าง “นศท.ยุคใหม่” ตีคู่ “สาวกฟ้ารักพ่อ”?

คําว่า “คนรุ่นใหม่” ถูกปลุกขึ้นอย่างคึกคักในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะแต่ละพรรคการเมืองต่างก็หวังคะแนนจากประชากรกลุ่มนี้ ซึ่งมีกว่า 7 ล้านคน ที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกและครั้งที่ 2 หรือ 3 ในห้วง 8 ปีที่ไม่มีการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2554

พรรคที่สร้างแบรนด์คนรุ่นใหม่ได้อย่างชัดเจนคือพรรคอนาคตใหม่ แม้แต่พรรคอนุรักษนิยมอย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็ตั้งกลุ่ม “New Dem” ขึ้นมา แม้สุดท้ายจะเพิ่งยุบทิ้ง แล้วแทนที่ด้วย “Young Democrat”

กระแสโซเชียลของคนรุ่นใหม่นำมาสู่การแสดงออกทางการเมืองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเปิดเผยแนวคิด “ติดลบ” ที่มีต่อกองทัพ

ก่อนหน้านี้ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ก็ทราบถึงแนวคิดของคนรุ่นลูกรุ่นหลานเป็นอย่างดี จึงมีความพยายามที่จะสร้างความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่

ล่าสุด พล.ท.ปราการ ปทะวานิช ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) รับนโยบาย พล.อ.อภิรัชต์ ในการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปี 1-5 ใหม่ เพื่อใช้ในการเรียน-การฝึก นศท.กว่า 3.1 แสนคนทั่วประเทศ

โดยใช้ระบบ “แอกทีฟ เลิร์นนิ่ง” ให้ นศท.และครูฝึกมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้ นศท.แสดงความเห็นและปรับการเรียนให้มีความทันสมัยผ่านการใช้ระบบแอพพลิเคชั่น แต่ยังคงเน้นระเบียบวินัย ความเป็นผู้นำ มีจิตอาสา และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ทั้งยังจะปรับสัดส่วนวิชาทหารจากเดิม 70% ให้เหลือ 55% เพราะบางวิชาสามารถอ่านทำความเข้าใจได้ จึงให้ นศท.ไปศึกษาด้วยตนเอง หากเกิดข้อสงสัยก็ให้ซักถามครูฝึก

ส่วนบางวิชาสามารถไปเรียนรู้ในภาคสนาม เป็นการลดความซ้ำซ้อนของเวลาและเนื้อหา

ส่วนวิชาทั่วไปจาก 30% จะขยายเป็น 45% โดยส่วนที่เพิ่มเข้ามาเป็นเนื้อหาทางด้านประวัติศาสตร์ สถาบันพระมหากษัตริย์ บทบาททหารกับความมั่นคง พร้อมทั้งการฝึกทำกิจกรรมช่วยเหลือประชาชน การปฐมพยาบาล และการบรรเทาสาธารณภัย

ขณะนี้อยู่ระหว่างการสัมมนาครูฝึกจากทุกศูนย์ฝึก นศท. ใน 35 มณฑลทหารบกทั่วประเทศ เพื่อสร้าง “ครูฝึกต้นแบบ” และเตรียมความพร้อมในปีการศึกษานี้

ในส่วนกิจกรรมเสริม จากเดิมที่มีโครงการ รด.จิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจ, รด.จิตสีขาว และ สมาร์ท รด. ก็จะเพิ่มเรื่องของ นศท. จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ที่อยู่ระหว่างการหารือเรื่องชุดเครื่องแบบ นศท. ในการทำงานจิตอาสา และ รด.ไซเบอร์ ที่ส่งเสริมให้ นศท.ใช้สื่อในทางสร้างสรรค์

หน้าที่ของ นศท. จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. จะมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่

1. การช่วยเหลือประชาชนตามความถนัด

2. การบรรเทาสาธารณภัยตามที่ได้รับการอบรม

3. การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจะไม่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด

โดยมีมณฑลทหารบกแต่ละพื้นที่ ครูฝึกพี่เลี้ยง และครูจากโรงเรียนซึ่งเป็นผู้กำกับ นศท. ทำหน้าที่ดูแลนักศึกษาวิชาทหาร เมื่อไปร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ

ทั้งนี้ โครงการ นศท. จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เป็นกิจกรรมที่เปิดให้นักศึกษาวิชาทหารสมัครใจเข้าร่วมโครงการ โดยสามารถนำผลงานที่ได้จากการลงพื้นที่ไปใส่พอร์ตในระบบแอพพลิเคชั่นการเรียน นศท. เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจแก่เพื่อนๆ

นอกจากนี้ ยังมีการปรับทรงผม นศท.ชายเป็น “รองทรง” จากเดิมที่ต้องตัดผมเกรียนข้างขาว 3 ด้าน โดยจะเริ่มผ่อนผันและทดลองในปีการศึกษา 2562 เนื่องจากนักศึกษาวิชาทหารยังไม่เป็นทหารประจำการ

โดย นศท.ชาย ชั้นปี 1-3 ให้ไว้ผมรองทรงสูง ความยาวด้านหน้าไม่เกิน 5 เซนติเมตร และ นศท.ชาย ชั้นปี 4-5 ไว้ผมรองทรง ความยาวด้านหน้าไม่เกิน 7 เซนติเมตร

ก่อนจะมีการประเมินข้อดี-ข้อเสีย รวมทั้งรับฟังเสียงสะท้อนจาก นศท. อาจารย์ ผู้กำกับ นศท. และผู้ปกครอง ในช่วงปลายปี 2562 อีกครั้ง

มีรายงานว่าเหตุผลที่มีการปรับทรงผม นศท.ชายเป็นรองทรง ก็เพื่อให้ตรงกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเข้ามาเรียน รด.มากขึ้น หลังมีเสียงจากเด็กๆ หลายคนที่อยากเรียน นศท. แต่ติดปัญหาเรื่องทรงผม

อีกทั้งเพื่อลดภาพลักษณ์ความเป็นทหารลงไป

แต่ทาง นรด.ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ทรงผมหลักของ นศท.นั้นอยู่ที่โรงเรียนต้นสังกัดเป็นผู้กำหนด หากระเบียบโรงเรียนสั่งให้ไว้ผมทรงเกรียน 3 ด้าน ทางครูฝึกก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนให้เป็นรองทรงได้

พร้อมกันนี้ พล.อ.อภิรัชต์ได้เปิด บก.ทบ. ให้ นศท.ชายและหญิง ชั้นปีที่ 1-3 รวม 62 คน จาก 19 โรงเรียนเข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยนานกว่า 1 ชั่วโมง

บรรยากาศการสนทนาค่อนข้างผ่อนคลาย เพราะถือเป็นการพูดคุยระหว่าง “ลุงแดง” กับหลานๆ โดย นศท.ได้สะท้อนเรื่องต่างๆ ออกมา โดยเฉพาะเรื่องระเบียบของเครื่องแบบ ซึ่งจะถูกเข้มงวดกวดขันในการขัดหัวเข็มขัดและรองเท้าให้เงางาม จนต้องใช้เวลานาน ทั้งที่อยากนำเวลาส่วนนี้ไปอ่านหนังสือหรือพักผ่อนมากกว่า

พล.อ.อภิรัชต์ได้ระบุกับ นศท. ว่า หัวเข็มขัดอาจไม่ต้องขัดให้เงา เพราะเวลาใส่เครื่องแบบยุคใหม่ที่ปล่อยชายเสื้อก็จะปิดหัวเข็มขัดอยู่แล้ว ส่วนรองเท้าไม่ต้องขัดให้ถึงขั้นเงามันวาว แต่ให้ขัดเพื่อดูเรียบร้อยก็พอ

“หลักสูตรจะมีการปรับเรื่องการแต่งกาย ทรงผม เพราะน้องๆ ไม่ใช่ทหาร แต่อยากใช้ชีวิตแบบทหาร เราก็พยายามสร้างกิจกรรมที่เป็นทหารให้มากขึ้นกับเขา” ผบ.ทบ.กล่าว และว่า

“เขาไม่ใช่กำลังพลกองทัพบก แต่เขามาศึกษาวิชาทหาร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน หลายๆ คนไม่ใช่เขามาเป็นนักศึกษาวิชาทหาร เพื่อไม่ต้องเกณฑ์ทหาร แต่เข้ามาเพราะอยากรู้ว่าทหารเป็นยังไง บางคนอยากเป็นพยาบาล หมอ อยากเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ทุกคนก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป”

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ พล.อ.อภิรัชต์พูดคุยกับ นศท. คือการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยได้ยกคำพูดของ นศท.รายหนึ่ง ความว่า

“น้องๆ หลายคนอยากให้โรงเรียนต่างๆ มีการสอนประวัติศาสตร์มากขึ้น เพราะทุกคนตระหนักว่ามีชาติไทยทุกวันนี้เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์

“นักศึกษาวิชาทหารเขากำลังเติบโตมาแล้วมีการเลือกตั้ง และยอมรับมาด้วยตัวเองหลังแลกเปลี่ยนความเห็น เขาบอกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญยิ่งกับประเทศไทย ใครก็ตามไม่นึกถึงแผ่นดินเกิด บุญคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่สมควรจะอยู่เมืองไทย นี่คือคำพูดเขา”

ทั้งหมดนี้เป็นการปรับยุทธศาสตร์การสร้าง “เยาวชนต้นแบบ” ในสภาวะที่แนวคิดของคนรุ่นใหม่แบ่งขั้วอย่างชัดเจนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น “เอา” หรือ “ไม่เอา” ทหาร เป็นต้น

นโยบายเหล่านี้จึงถูกมองว่าอาจเป็นการรับมือกับปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ที่อุทิศตนเป็นสาวกบางพรรคการเมืองหรือไม่?

หลัง พล.อ.อภิรัชต์เคยตอบโต้กลุ่มคนไปเรียนเมืองนอก แล้วได้แนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้ามา ว่าเป็นพวก “ซ้ายจัด ดัดจริต”

กระบวนการสร้างเยาวชนต้นแบบผ่าน “นศท.รุ่นใหม่” คือประเด็นน่าจับตาไม่น้อย ว่าจะทรง “อานุภาพ” ขนาดไหน? ในอนาคต