อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ท้องฟ้าเทาทะมึน

เมืองในหมอก (7)

“Lonely looking sky

Lonely sky, lonely looking sky

And bein” lonely

Makes you wonder why

Makes you wonder why

Lonely looking sky

Lonely looking sky

Lonely looking sky”

“ท้องฟ้าที่เปลี่ยวเหงา

ท้องฟ้าอันเงียบเหงา ท้องฟ้าที่เปลี่ยวเหงา

และความรู้สึกเปลี่ยวเหงานี้เอง

ที่ทำให้คุณประหลาดใจว่า

ที่ทำให้คุณสงสัยว่า

ท้องฟ้าที่เปลี่ยวเหงา

ท้องฟ้าที่เปลี่ยวเหงา

ท้องฟ้าที่เปลี่ยวเหงา”

Lonely Looking Sky บทเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Jonathan Livingston Seagull

ของ Neil Diamond

 

หญิงสาวผู้นั้นเหลียวมองหา “นกไร้รูป” ไปรอบๆ ตัวเธออีกครั้ง เธอทำเช่นนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าหูของเธอไม่ได้ฝาดไป มีเสียงร้องของนกตัวหนึ่งจริงๆ เพียงแต่ท้องฟ้าอันมัวหม่นอาจบดบังเจ้านกตัวนั้นจากสายตาของเธอ

เมื่อไม่อาจมองหา “นกไร้รูป” ตัวนั้นได้พบ หญิงสาวผู้นั้นตัดสินใจนั่งลงที่ม้านั่งหินตัวหนึ่งในสวนสัตว์

การมาเยือนสวนสัตว์แห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในวัยเด็ก เธอมากับผู้เป็นพ่อ ในวันนั้น เธอรู้สึกปวดหัว เหนื่อยหน่ายกับโรงเรียนขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

เธอนอนอิดออดอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน จนในที่สุดผู้เป็นพ่อก็บอกกับเธอว่าหากเช้าวันนั้นเธอไม่ไปโรงเรียน มีสองทางให้เธอได้เลือก เธอจะไปที่โรงพยาบาลหรือเธอจะไปยังสวนสัตว์

แน่นอน เธอเลือกทางเลือกหลังและไม่เกินครึ่งชั่วโมง เธอและพ่อก็มาถึงสวนสัตว์แห่งนี้

เธอยังจำรสชาติของไอศกรีมในวันนั้นได้ดี

เธอยังจำรสชาติของน้ำหวานสีแดงในวันนั้นได้ดี

เธอยังจำความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นแรดผิวสีน้ำตาลหนาหนักตัวนั้นได้ดี

เธอยังจำความรู้สึกเพลิดเพลินที่ได้ขี่คอพ่อของเธอไปทั่วสวนสัตว์ได้ดี

แต่เหนืออื่นใด เธอยังจำภาพของท้องฟ้าใสสะอาดที่เป็นสีฟ้าสดในวันนั้นได้ดี

เธอจำท้องฟ้าวันนั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่เคยลืม

 

ท้องฟ้าในวันนั้นมีสีฟ้าสดใสราวกับสีของฟ้าที่เธอเคยเห็นในภาพยนตร์การ์ตูนที่เกี่ยวข้องกับท้องทะเล

ท้องฟ้าในวันนั้นมีสีฟ้าสดใสราวกับคลื่นทะเลที่เธอเคยเห็นในท้องทะเล

อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงความเทียบเคียงเท่านั้น เธอไม่อาจเปรียบเทียบสีของท้องฟ้านั้นได้กับสีใดอื่น มันเป็นสีฟ้าที่สดใส งดงาม เอิบอิ่ม หมดจด

แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นท้องฟ้าที่เงียบเหงา เงียบเหงาเหลือเกินสำหรับเธอ

แต่ในความเงียบเหงานั้นไม่ปราศจากชีวิต เธอรู้สึกได้ว่าในท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง ว่างเปล่า และเงียบเหงานั้นอาจมีหลายสิ่งบังเกิดขึ้น อาจมีหลายสิ่งอุบัติขึ้น

แม้ว่าท้องฟ้านั้นจะเงียบเหงาและว่างเปล่า แต่เธอรู้สึกได้ว่ามันเป็นท้องฟ้าแห่งความหวัง มีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่อาจเกิดขึ้นได้ใต้ท้องฟ้านี้ มีบางสิ่งที่งดงามอาจเกิดขึ้นได้ใต้ท้องฟ้านี้

เธอมองมันจากบนบ่าของพ่อ ด้วยมุมมองนั้นทำให้เธอรู้สึกตนคล้ายดังเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งและทำให้เธอตั้งใจนับตั้งแต่วันนั้นว่าหากมีสิ่งใดที่เธอทำให้โลกนี้ไปได้ เธอจะทำสิ่งนั้นอย่างไม่ลังเลเลย

หญิงสาวผู้นั้นคิดคำนึงถึงความทรงจำดังกล่าว เวลาผ่านไปอย่างที่เธอไม่รู้ตัว ดังที่เป็น เธอจมนิ่งกับความคิดคำนึง ทอดทิ้งความใส่ใจในโลก เธอจมหายไปในความทรงจำของโลก

จนเมื่อเธอรู้สึกตัวอีกครั้ง เธอจึงพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีเทา

ท้องฟ้าที่หม่นหมอง ท้องฟ้าที่ไร้ความหวัง ท้องฟ้าที่ไม่มีสิ่งใดจะเกิดขึ้นได้เลย

 

นายหมอกสีเทานั่งเฝ้ามองหญิงสาวผู้นั้นอยู่ในระยะไกล ในตอนแรกเขาหวาดกลัวว่าหญิงสาวผู้นั้นจะสังเกตเห็นเขา หากแต่เขาคาดผิด หญิงสาวผู้นั้นดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตนเอง

เธอนั่งนิ่ง ดวงตาว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกราวกับว่าเธอเองได้หายไปจากที่นั่น ไม่มีตัวตนของเธอที่นั่น มีเพียงภาพมายาของเธออยู่

นายหมอกสีเทารู้สึกดังเหมือนว่าหมอกในเมืองนั้นได้ลบเลือนภาพของเธอไป เธอผู้เคยมีตัวตนจริงจนกลายเป็นเธอผู้เป็นภาพมายาภาพหนึ่ง

เขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก วันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ท่องเที่ยวราคาถูก เขาไปกับแม่ แม่ผู้เลี้ยงเขามาอย่างโดดเดี่ยว พ่อของเขาทิ้งเขาไปตั้งแต่เขายังเด็ก

แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องเมืองในหมอก ลูกชายมิได้ทิ้งแม่ของเขาไป หากแต่เป็นผู้เป็นพ่อต่างหากที่ทิ้งเขาและแม่ไป

เขาเติบโตมากับแม่เพียงลำพัง ในบ้านอันมีเพียงเขาและแม่ เขารู้สึกได้ถึงความอ้างว้าง

เขารู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาที่รายล้อม ไม่ว่าเขาและแม่จะทำสิ่งใด

เขาเชื่อว่าทั้งแม่และเขารู้สึกได้ถึงความเหงาและความโดดเดี่ยวที่รายล้อมเขาทั้งคู่อยู่

แต่ในวันนั้นเอง ในขณะที่เขาและแม่กำลังเดินอยู่ในสวนสัตว์ นายหมอกสีเทาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าวันนั้นเป็นสีฟ้าสดใส

เขาไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่สดใสเยี่ยงนั้นมาก่อนเลย

เขาไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่สดใสเช่นนั้นมาก่อนเลย

นายหมอกสีเทาจ้องมองท้องฟ้าอันสดใสนั้นด้วยความตื่นตะลึง

เขารู้สึกได้ว่าความโศกเศร้า ความเงียบเหงา ความอ้างว้างเดียวดายที่รายรอบเขาอยู่นั้นได้มลายสลายไป

เขาจ้องมองท้องฟ้านั้นอย่างไม่วางตา

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงความหวัง ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเขาและแม่จะย่อยยับอัปราเพียงใด

เขาตั้งใจจะทำทุกอย่างที่จะรักษาโลกและท้องฟ้านี้ไว้ ที่จะรักษาโลกใบนี้ไว้

 

ด้วยความรู้สึกในวันนั้นเองที่ทำให้นายหมอกสีเทามีวันนี้

วันที่เขายังรักษาอุดมการณ์และความใฝ่ฝันที่จะนำท้องฟ้าสีฟ้าสดใสกลับคืนมา

เขารู้ดีว่ามันเป็นงานที่ยากเย็นแต่เขาไม่เคยย่อท้อ อ่อนแรง หรือสูญสิ้นความหวัง

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท้องฟ้าอันสดใสที่เขาได้พบเห็นในวันนั้นเอง ท้องฟ้าที่สดใส อบอุ่น เปี่ยมด้วยความหวังอันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในยามนี้ ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีเทา

หากจะมีใครผ่านทางมาที่สวนสัตว์แห่งนี้ เขาจะเห็นภาพของคนสองคนที่นั่งอยู่ในสวนสัตว์เดียวกัน เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่ท้องฟ้าเบื้องบน

แต่ภาพที่เห็นนั้นย่อมไม่อาจบ่งบอกสิ่งที่อยู่ลึกลงไป

คนสองคนแม้จะมองไปยังท้องฟ้าเฉกเช่นเดียวกัน ทว่าทั้งคู่ไม่ได้ขบคิดถึงสิ่งเดียวกัน

คนหนึ่งคิดถึงท้องฟ้าอันสดใสแต่เวิ้งว้างว่างเปล่าในวัยเด็ก

คนหนึ่งคิดถึงท้องฟ้าสีสดใสที่อบอุ่นในวัยเด็ก

แต่ทั้งคู่แม้จะคิดถึงท้องฟ้าที่ให้ความรู้สึกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ของมันที่มีต่อพวกเขากลับเป็นไปในแบบเดียวกัน

ทั้งคู่มีความหวัง มีอุดมการณ์ที่จะต่อสู้เพื่อนำท้องฟ้าอันสดใสนั้นกลับมา

ทั้งคู่มีอุดมการณ์ที่จะขจัดท้องฟ้าอันหม่นเศร้านั้นให้หมดไป

 

ในที่สุดหญิงสาวผู้นั้นก็ลุกขึ้น ไม่มีประโยชน์ที่จะตระเวนต่อไปในเมืองนี้อย่างไร้จุดหมาย เธอควรกลับไปที่ห้องทดลองของเธอให้เร็วที่สุด แม้หน้ากากที่ทำให้เธอหายใจได้ปลอดโปร่งอันนี้จะทำให้เธออยากตระเวนไปทั่วๆ ในเมือง

แต่เธอไม่ควรทำเช่นนั้น

มีสิ่งที่สำคัญรอเธออยู่

นั่นคือการกลับไปทำในสิ่งที่เธอคิดว่าสมควรจะกระทำ

หญิงสาวผู้นั้นออกเดินจากสวนสัตว์นั้นไป มุ่งหน้ากลับไปยังที่ทำงาน