กรองกระแส / อ่านอนาคตใหม่ ปรากฏการณ์เลือกตั้ง 2562 อ่านอนาคตไทย

กรองกระแส

 

อ่านอนาคตใหม่

ปรากฏการณ์เลือกตั้ง 2562

อ่านอนาคตไทย

 

การปรากฏขึ้นของพรรคอนาคตใหม่เป็นการปรากฏขึ้นอย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ในทางสังคม ไม่ว่าจะมองในระดับโลก ไม่ว่าจะมองในระดับประเทศ ไม่ว่าจะมองผ่านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ไม่ว่าจะมองผ่านวิทยาศาสตร์สังคม

เป็นการเกิดในความพยายามที่จะ “หยุด” ประเทศไม่ให้พัฒนาไปตามสภาพความเป็นจริงของโลก สภาพความเป็นจริงของสังคม

อย่างที่มีบางคนหลุดคำว่า “แช่แข็งประเทศ” ออกมาเมื่อปี 2555

อาจเป็นความตระหนกตกใจเนื่องจากชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ชัยชนะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554

ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐประหารเมื่อปี 2549 เป็นรัฐประหาร “เสียของ”

จึงนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยอาศัยรูปการณ์เดียวกันกับที่เคยประสบความสำเร็จผ่านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2548 เพียงแต่คราวนี้อาศัยรูปการณ์ผ่าน กปปส. ผ่านรากฐานสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง แล้วที่สุดกองทัพก็เข้ามาเก็บดอกผลผ่านกระบวนการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

จาก คมช.ในรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กลายเป็น คสช.ในรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

ผลที่ได้มากลับเป็นชัยชนะและการแจ้งเกิดให้กับพรรคอนาคตใหม่

 

รากฐาน พลังประชารัฐ

รากฐาน อนาคตใหม่

 

จะทำความเข้าใจต่อสถานการณ์การเมืองภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ได้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจต่อสถานการณ์การเกิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐ กับสถานการณ์การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่

1 เป็นตัวแทนแห่งอดีต 1 เป็นตัวแทนแห่งอนาคต

พรรคพลังประชารัฐคือเครื่องมือในทางการเมืองของ คสช.นอกเหนือไปจากรัฐธรรมนูญ นอกเหนือไปจากการทำรัฐประหาร

การก่อรูปขึ้นของพรรคพลังประชารัฐ 1 อาศัยอำนาจและเครือข่ายของ คสช.อันเป็นอำนาจและเครือข่ายที่ได้จากการรัฐประหาร 1 อาศัยความจัดเจนจากพรรคเสรีมนังคศิลา จากพรรคสหประชาไทย จากพรรคสามัคคีธรรม

อย่าได้แปลกใจหากพรรคพลังประชารัฐจะถูกมองว่าเป็นตัวแทนรัฐประหาร เป็นตัวแทนเผด็จการ

ขณะเดียวกันพรรคอนาคตใหม่คือเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์และความขัดแย้งในห้วง 1 ทศวรรษก่อนรัฐประหารเมื่อปี 2549 และต่อเนื่องมายังรัฐประหารเมื่อปี 2557

พรรคอนาคตใหม่ก่อรูปขึ้นแตกต่างไม่เพียงแต่จากพรรคพลังประชารัฐ หากยังแตกต่างไปจากพรรคการเมืองในอดีตและที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา

นั่นก็คือ ไม่มีอดีต ส.ส. ไม่มีการดูดคนจากพรรคการเมืองอื่น ไม่มีเครือข่ายหัวคะแนน ไม่ได้มีการใช้เงินอย่างมหาศาลเพื่อจ่ายในกระบวนการของการเลือกตั้ง

พรรคอนาคตใหม่จึงเป็นตัวแทนของการเมืองใหม่ เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่

เด่นชัดอย่างยิ่งว่ามีความแตกต่างไปจากพรรคพลังประชารัฐ เด่นชัดอย่างยิ่งว่าไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองหยุดนิ่ง หากแต่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง

 

อาการช็อก การเมือง

อนาคตใหม่ แจ้งเกิด

 

แม้พรรคอนาคตใหม่มิได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 1 หากเป็นอันดับ 3 รองจากพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ แต่พรรคอนาคตใหม่ก็ครองความเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา

ปรากฏการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกเป็นอย่างสูงในทางการเมือง ไม่ว่าจะมาจากพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองเก่าอื่นๆ ไม่เว้นกระทั่งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์

ที่ตื่นตระหนกที่สุดคือ คสช.และเครือข่าย

เห็นได้จากอาการเกรี้ยวกราดไม่ว่าจะมาจาก “ลุงเสรี” ไม่ว่าจะมาจาก “ป้าสินจัย” ไม่ว่าจะมาจาก “ลุงกนก” ไม่ว่าจะมาจาก “ป้าอุ๊”

และที่สุดคือ การแจ้งความกล่าวโทษจาก คสช.

เป็นการพุ่งเป้าไปยังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค เป็นการพุ่งเป้าไปยังนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ก่อกระแสในทางสังคมเหมือนกับสภาพการณ์ทางการเมืองก่อน 6 ตุลาคม 2519 เหมือนกับสภาพการณ์ก่อนรัฐประหารปี 2549 เหมือนกับสภาพการณ์ก่อนรัฐประหารปี 2557

หวังจะบดขยี้และทำลายล้างพรรคอนาคตใหม่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน

ปรากฏการณ์นี้จะเป็นไปเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2519 เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2549 เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 หรือไม่ ไม่เพียงแต่สังคมไทยเท่านั้นที่เฝ้ามองและติดตาม หากประชาคมโลกก็ให้ความสนใจเป็นอย่างสูง

     นี่คือปรากฏการณ์ทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ปรากฏการณ์นี้จะนำไปสู่ก้าวใหม่ก้าวใหญ่ หรือเป็นการถอยหลังทางการเมืองครั้งใหญ่