ปริศนาโบราณคดี : ส่งท้าย “777 ปีชาตกาลพระญามังราย” ภารกิจสะสางประวัติศาสตร์ยังไม่จบสิ้น (1)

เพ็ญสุภา สุขคตะ

เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา มูลนิธิสถาบันพัฒนาเมืองเชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพร่วมกับมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์ (ประเทศไทย) ได้จัดงานเสวนาวิชาการ หัวข้อ “777 ปี ชาตกาลพระญามังราย : การสร้างเมือง การบริหารรัฐ นโยบายรัฐสัมพันธ์ และมรดกทางประวัติศาสตร์” ณ ห้องประชุม สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เนื่องในโอกาส “ส่งท้ายปีชาตกาลของพระองค์ ที่เวียนมาบรรจบ 777 ปีในศักราชนี้” อาจเป็นงานสุดท้ายที่ลูกหลานชาวล้านนาร่วมรำลึกถึงท่านในรอบปี 2559

หากคงมิใช่ภารกิจสุดท้ายแห่งการชำระสะสางประวัติศาสตร์ที่เราต่างก็ยังคงค้างคาใจเป็นแน่

หรืออีกนัยหนึ่ง การเสวนาครั้งนี้อาจเป็นเพียงปฐมบทแห่งการชี้ประเด็นตั้งคำถามเกี่ยวกับพระญามังราย ที่เคยอมพะนำกันมานานเป็นครั้งแรกๆ มากกว่าด้วยซ้ำ

พระญามังรายสำคัญอย่างไร ความที่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรล้านนามานานกว่า 50 ปี มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเมืองต่างๆ ทั่วภาคเหนือ กล่าวคือ เกิดที่เชียงราย ยกทัพมาตีเมืองลำพูน แล้วจบลงด้วยการสร้างเมืองเชียงใหม่

และยังเป็นกษัตริย์สองราชวงศ์ คือเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หิรัญนครเงินยาง และเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์มังราย (อาณาจักรล้านนา)

ดังนั้น จึงมีเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญทั้งเชิงบวกเชิงลบ ร้าวรันทดระคนพิสดารพันลึกเกิดขึ้นอย่างมากมายในรัชสมัยของพระองค์

%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%93%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b5-1896-1

พระญามังรายเป็น “ลัวะ” จริงหรือ?
“ลาวจง” VS “ลาวจก” ไผเป็นไผ

วิทยากรร่วมเสวนาในเวทีนี้มีมากถึง 7 คน แต่ละคนต่างนำเสนอมุมมองใหม่ ที่มีต่อพระญามังราย และ/หรือประวัติศาสตร์ร่วมสมัยในยุคของพระองค์ โดยเริ่มต้นจากผู้ที่เดินทางมาไกลที่สุด

นายอภิชิต ศิริชัย นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านเชียงรายศึกษา คนหนุ่มไฟแรง ได้เปิดประเด็นแรกด้วยการยิงคำถามเปรี้ยงว่าด้วยเรื่องชาติกำเนิดของพระญามังรายว่า

“ตามที่เชื่อกันว่าพระญามังรายเป็นชาวลัวะนั้น ท่านเป็นลัวะจริงๆ ล่ะหรือ?”

“อ้าว! แล้วเหตุผลใดเล่า ที่จะทำให้เราไม่อาจเชื่อได้ว่าพระญามังรายมิได้มีเชื้อสายลัวะ?” นี่คงเป็นคำถามที่นักวิชาการด้านล้านนาศึกษาหลายคนในห้องประชุม ตะโกนก้องในใจขณะรอฟังคำอธิบาย ที่อยากย้อนถามอภิชิตกลับอย่างตงิดๆ

พระญามังรายเป็นโอรสของ “ลาวเม็ง” (ลาวเมง) กษัตริย์องค์ที่ 24 ของราชวงศ์ลาว ฝ่ายมารดาชื่อ “นางเทพคำขร่าย” ภาษาล้านนาออกเสียง “คำก๋าย”

เอกสารฝ่ายสยามเล่มหนึ่งคือ พงศาวดารโยนก อภิชิตเห็นว่าเป็นตัวสร้างปัญหาในการแปลงชื่อของนางเทพคำขร่าย ให้กลายเป็น “นางเทพคำขยาย” ส่งผลให้แบบเรียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยุคหลัง นำเอาหลักฐานของพงศาวดารโยนกนี้ไปใช้ต่อแบบผิดๆ ทั้งๆ ที่เอกสารฝ่ายพื้นเมืองล้านนาทุกฉบับไม่เคยปรากฏการใช้ตัว “ย” แทนตัว “ร” แต่อย่างใด

นางเทพคำขร่าย เป็นราชธิดาของกษัตริย์เมืองเชียงรุ่ง ซึ่งเป็นชาวไทลื้ออย่างไร้ข้อกังขา

พระญามังรายจึงเป็นลูกครึ่งที่มีเชื้อสายผสมระหว่างสองชาติพันธุ์อย่างแน่นอน กล่าวคือ สายแม่เป็นไทลื้อ หรืออาจเรียกลื้อเฉยๆ ส่วนฝ่ายพ่อนั้นเล่า เดิมเคยฟันธงกันว่า เป็นชาติพันธุ์ลัวะ

อภิชิตตั้งคำถามว่า “ราชวงศ์ลาว” ของฝ่ายพ่อลาวเม็ง ในที่นี้ควรเป็นชาติพันธุ์ใดกันแน่ จะใช่ “ลัวะ” ตามความเข้าใจเดิมๆ กันอยู่ไหม?
เขาได้ยกตัวอย่างผลงานของนักวิชาการระดับชาติคือ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนเรื่อง “ไทใหญ่ ไทน้อย ไทยสยาม” ที่ได้กล่าวว่า

“ถ้ายึดตำนานแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ขุนเจื๋อง และพระญามังราย มีเชื้อสายลัวะอย่างแน่นอน เหตุเพราะสืบวงศ์มาจากปู่จ้าวลาวจก และลวจังกราชที่มาจากดอยตุง” อีกทั้งย้ำว่า “พระญามังรายไม่ใช่คนไททั้งในด้านวงศ์ตระกูลและชาติกำเนิด”

อภิชิตยอมรับว่า ประวัติความเป็นมาของพระญามังรายนั้น มีความสัมพันธ์กับชาวลัวะอย่างแนบแน่น ดังมีตัวอย่างให้เห็นหลายเหตุการณ์ อาทิ ตอนที่พระญามังรายจะทำการยึดหริภุญไชย (ลำพูน) ก็มอบหมายให้ “อ้ายฟ้า” ขุนนางชาวลัวะเป็นผู้ดำเนินการ อาจเป็นเพราะชาวเมืองหริภุญไชยส่วนหนึ่งเป็นประชากรชาวลัวะ (อีกส่วนหนึ่งเป็นเม็งหรือมอญ) ก็เป็นได้ ทำให้ง่ายต่อการกลมกลืน

“กำเนิดและล่มสลายเมืองโบราณเหนือแผ่นดินสยาม จากอดีตถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์เรื่องบ้านเมืองสำคัญของไทย” เขียนโดย “ภาสกร วงศ์ตะวัน” หน้า 81 เป็นอีกเล่มหนึ่งที่เชื่อว่า พระญามังรายเป็นชาวลัวะ โดยอ้างอิงงานของอาจารย์ศรีศักรว่า

“ลาวจง ก็คือ ลวะ หมายถึงชาติพันธุ์ลัวะ ดังปรากฏในตำนานพื้นเมืองเชียงแสนว่า ปู่จ้าวลาวจก เป็นขุนลัวะที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณดอยตุง เป็นพวกที่สูง ซึ่งมีความเจริญอยู่ก่อนแล้ว โดย อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้แสดงความเห็นว่า พวกลัวะที่ว่านี้มีความเคลื่อนไหวและมีบทบาทสำคัญทำให้เกิดการสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นในแอ่งเชียงรายเชียงใหม่”

อภิชิตกล่าวว่า แนวคิดเช่นนี้ถูกผลิตซ้ำมานานกว่า 40-50 ทศวรรษ พร้อมกับอ่านเนื้อหาที่อาจารย์ศรีศักรเขียนในเล่มดังกล่าวต่อไปอีกว่า

“ในขณะที่อีกฝ่าย คงเสียดายความยิ่งใหญ่ของพระญามังราย เลยพยายามจะให้พระองค์เป็น “ไท” หรือไม่ก็ใกล้เคียงให้ได้ จึงได้ใช้หลักฐานที่กล่าวถึง ลาวจง ปฐมกษัตริย์ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์พร้อมบริวาร 1,000 คน ซึ่งก็สันนิษฐานกันว่า น่าจะคือเผ่าไทที่อพยพเข้าไปในดินแดนของลัวะ ว่างั้น (สะท้อนถึงความไม่เชื่อ) และมีบางท่านกล่าวว่า ลาวจง หรือลาวจก เป็นชื่อที่ตำนานเก่าแก่ใช้และมีการแปลงเป็นบาลี กลายเป็นลวจักราช หรือลาว ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับ อ้ายลาว อาณาจักรโบราณ”

การที่อภิชิตหยิบยกข้อความที่อาจารย์ศรีศักรเขียนมานี้ เพื่อจะบอกว่า อาจารย์ศรีศักรไม่เห็นด้วยกับผู้ที่พยายามอธิบายว่าพระญามังรายเป็นคนไท เพราะเชื่อว่าพระองค์เป็นชาวลัวะ

%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%93%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b5-1896-2

อภิชิตกล่าวต่อไปว่า ชุดความรู้เหล่านี้ เริ่มต้นมาจากการเขียน พงศาวดารเล่มที่ 61 พิมพ์ครั้งแรกในปี 2479 โดยมีการนำต้นฉบับจากเชียงแสน เชียงใหม่ และหลายๆ ที่ไปรวบรวม และเรียบเรียงจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อให้อ่านเป็นภาษาไทยกลางแบบง่ายๆ

ในประชุมพงศาวดารเล่มที่ 61 นี้ มีเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของอาณาจักรโบราณในเมืองเชียงราย 2 เมือง

1. เมืองโยนกนาคพันธุ์ ปรากฏในตำนานสิงหนวัติกุมาร

และ 2. เมืองหิรัญนครเงินยาง ปรากฏในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ซึ่งอภิชิตมีคำถามต่อการตั้งชื่อตำนานทั้งสองเล่มที่ผลิตขึ้นมาใหม่

เล่มแรก ชื่อตำนานสิงหนวัติกุมารนี้มีข้อน่าเคลือบแคลงใจ เพราะตำนานเนื้อหาเดียวกันในล้านนาทุกฉบับล้วนแต่เรียกว่า “สิงหนติ” ไม่มีฉบับไหนเรียก “สิงหนวัติ” ทำไมจึงต้องเปลี่ยนชื่อในคราวเขียนประชุมพงศาวดารเล่มที่ 61?

เนื้อหาใน ตำนานสิงหนวัติ กล่าวถึงเจ้าชายสิงหนวัติ (ซึ่งอภิชิตขอเรียกว่า สิงหนติ ทุกคำ) ได้มาสร้างเมืองโยนก (ในอดีตเรียก “สิงหนนคร”) มีกษัตริย์สืบต่อมาคือ “พันธนติ” และ “อชุตราช” ผู้ที่เราคุ้นหูกันดี เนื่องจากมีชื่อท่านปรากฏในตำนานพระธาตุดอยตุง

จากจุดตรงนี้นี่เองที่ทำให้เกิดคำว่า “ลาวจก” แบบมีตัวมีตนขึ้นมา ว่าใน พ.ศ.561 พระเจ้าอชุตราช ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานที่พระธาตุดอยตุง โดยไปซื้อที่ดินของ “ปู่จ้าวลาวจก” อชุตราชได้ขอให้ปู่จ้าวลาวจกและย่าเฒ่าลาวจกเป็นผู้เฝ้าดูแลพระธาตุ ในตำนานเกริ่นว่า ปู่จ้าลาวจกเป็นผู้มีฐานะดี เป็นหัวหน้าคล้ายๆ Land Lord มีจก “จอบ” (ขอบก) ถึง 500 ด้าม แสดงถึงอิทธิพลด้านเกษตรกรรม มีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยในยุคนั้น

เรื่องราวของปู่จ้าวลาวจก ไม่ได้กล่าวถึงอะไรอีกมากนัก บอกแค่ว่ามีลูกสามคนที่แบ่งให้ครองเมืองต่างๆ สิ่งที่น่าสนใจคือมีการกล่าวว่า ปู่จ้าวลาวจกไล่ให้คนที่ทำไร่ทำนาบนพื้นที่สูงนำพืชผลลงมาขายให้แก่คน “ไทโยน” แห่งคว้นโยนกนาคพันธุ์ ที่อยู่ทางด้านล่าง อภิชิตเชื่อว่าจากข้อความทั้งหมดบ่งชี้ว่า “ปู่จ้าวลาวจก” น่าจะเป็นชาวลัวะ

 

กรณีของ “ลาวจง” ผู้เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ลาว ขึ้นปกครองเมือง “เชียงลาว” ในปีที่พระเจ้าอนิรุทธมหาราชแห่งพุกาม ตัดศักราช ตรงกับ จ.ศ.1 หรือ พ.ศ.1181

อนึ่ง ในช่วงแรกนั้น ราชธานีของราชวงศ์ลาวยังไม่ใช่เมืองหิรัญนครเงินยาง หรือที่ประชุมพงศาวดารเล่มที่ 61 เขียนว่า “เงินยางเชียงแสน” แต่อย่างใด เพราะเมืองหิรัญนครเงินยาง สร้างขึ้นภายหลังโดยลาวเคียง กษัตริย์องค์ที่ 8 แล้ว อีกทั้งเมืองเงินยางก็ไม่ได้มีทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณเมืองที่เรียกว่าเชียงแสนแต่อย่างใดด้วย

นับจากกษัตริย์ลาวจง ถึงกษัตริย์ลาวเม็ง ราชวงศ์ลาวมีกษัตริย์ 23 องค์ คือนับจาก พ.ศ.1181 ถึง 1782 ก็ถือว่ามีความสมเหตุสมผล เพราะเฉลี่ยแล้วกษัตริย์แต่ละพระองค์ครองราชย์ประมาณองค์ละ 28 ปี

กระทั่งลาวเม็งสวรรคต พ.ศ.1802 พระญามังรายได้ขึ้นครองเมืองหิรัญนครเงินยาง (อยู่ในเชียงราย ไม่ใช่เชียงแสน) สืบต่อในปีนั้น

สรุปแล้ว “ลาวจก” กับ “ลาวจง” มีอายุห่างกันถึง 620 ปี จึงย่อมเป็นคนละคนกัน คนละยุคสมัยกัน แล้วไฉนอาจารย์ศรีศักร จึงกล่าวว่า “พระญามังรายเป็นชาวลัวะที่สืบมาจากบรรพบุรุษที่ชื่อว่า ปู่จ้าวลาวจก?”

 

การตีความดังกล่าวถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการชำระสะสาง ทั้งๆ ที่ในภาษาบาลีเขียนแยกกันไว้ชัดเจนว่า ลาวจก = ลวจักราช ส่วน ลาวจง=ลวจังกราช

ส่วนคำว่า ลาว ลว และ ลัวะ ในอักษรธัมม์ล้านนาหรือตั๋วเมือง ก็เขียนกันคนละอย่าง และอ่านแตกต่างกัน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะอ่าน “ลว” (ละวะ) ให้เป็น “ลัวะ” ได้ สะท้อนว่ารากศัพท์คำเหล่านี้เป็นคนละคำกัน

หลังจากนครโยนกนาคพันธุ์งมี “สิงหนติ” เป็นต้นวงศ์ล่มสลาย เริ่มมีการปรึกษาหารือกันเรื่องการตั้งเมืองใหม่ เรียกบริเวณนั้นว่า “เวียงปรึกษา” อุปมาอุปไมยคล้ายกับเป็นหมุดหมายแห่งประชาธิปไตยครั้งแรกบนแผ่นดินสยาม?

กรณีเกิดแผ่นดินไหวจนเวียงโบราณต้องล่มสลายไปในเขตพื้นที่เชียงรายนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเขตภาคเหนือตอนบน ยังคงมีปรากฏเรื่องแผ่นดินไหวให้เห็นเป็นปกติจนทุกวันนี้ แต่อภิชิตเชื่อว่าประชากรไม่ได้ล้มหายตายจากไปเสียทั้งหมด กลุ่มหนึ่งรอดตายจึงไปตั้งเวียงปรึกษา

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มของ “ลาวจง” ได้ไปสร้างเวียง “เชียงลาว” แต่การที่จะให้ใครก็ไม่ทราบ ไร้หัวนอนปลายเท้าขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ จำเป็นต้องเพิ่มความชอบธรรมของพระองค์ ตำนานจึงผูกเรื่องว่าการขึ้นเป็นกษัตริย์ของลาวจงได้นั้น เพราะทรง “ก่ายเกิ๋น” หรือไต่บันไดสวรรค์ลงมาจากชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไปบำเพ็ญบารมีมานานถึง 200 ปี เป็นการเขียนเพื่อเพิ่มเกียรติยศและศักดิ์ศรีให้ท่าน ว่าไม่ได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ลอยๆ โดยปราศจากที่มาที่ไป

ทว่า ชินกาลมาลีปกรณ์ หลักฐานที่เขียนขึ้นในยุคล้านนา ราว พ.ศ.2000 ต้นๆ ไม่มีเรื่องของ เกิ๋น หรือบันไดสวรรค์ ใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ระบุว่า ลาวจง จุติมาแบบ โอปปาติกะ

โอปปาติกะ ในความหมายของชินกาลมาลีปกรณ์ หมายถึง การที่ “ลาวจง” สามารถหนีรอดชีวิตมาได้จากแคว้นโยนกนาคพันธุ์ที่ล่มสลายไป และประชากรมากกว่า 90% ต้องเสียชีวิต แต่ “ลาวจง” ถือว่าเป็นผู้เกิดใหม่ จึงมีความชอบธรรมที่จะตั้งตัวเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ใหม่ได้

หากเป็นดังนี้ “ลาวจง” ย่อมจะเป็นชาว “โยนก” หรือ “ไทโยน” ที่หนีตายมาได้ ย่อมไม่ใช่ชาวลัวะดังที่ใครๆ เข้าใจกัน

 

ส่วนกรณีที่พระญามังราย ให้ความสำคัญแก่พิธีกรรมตามฮีตฮอยของชาวลัวะนั้น อาจไม่สามารถใช้เป็นเครื่องชี้วัดได้ทั้งหมดว่าท่านต้องมีเชื้อสายลัวะ เพราะยุคสมัยของพระองค์เกิดการหลอมรวมประชากรในลักษณะ พหุสังคม หรือพหุชาติพันธุ์ ดังนั้นการหยิบยืมเอาจารีตประเพณีของชาวลัวะมาใช้บ้างก็ย่อมเกิดขึ้นได้

ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากการศึกษาของ อภิชิต ศิริชัย นักวิชาการอิสระรุ่นใหม่ ที่โยนระเบิด (นี่เพียงแค่ลูกแรก) ให้วิทยากรที่เหลืออีก 6 คน ต้องเตรียมงัดเหตุผลมาสนับสนุนหรือคัดง้าง

ความเข้มข้นจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามอ่านในสัปดาห์ต่อๆ ไป