นงนุช สิงหเดชะ : ลีลา “พิชัย นริพทะพันธุ์” อดีต “รมต.ไอเดียกระฉอก-ลิงแก้แห”

ฟัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย โจมตีรัฐบาลปัจจุบันเรื่องเศรษฐกิจแบบถี่ยิบแล้ว เกิดความรู้สึกปลงๆ ขำๆ

เพราะให้ความรู้สึกว่าเป็นพวก “ช่างจ้อ” ติมันได้ทุกเรื่อง

ซึ่งตรงนี้ก็พิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้วคนพรรคนี้ก็เป็นแบบที่เคยว่าพรรคอื่นเอาไว้ที่ว่า “ดีแต่พูด”

สำคัญกว่านั้น การพูดของนายพิชัย แม้จะอ้างว่าติเพื่อก่อ แต่ก็มีลักษณะคล้ายจะตีกินฉวยโอกาสทางการเมืองอยู่มาก เพราะสาระสำคัญสุดท้ายที่เขาต้องการสื่อสารก็คืออยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว

โดยอ้างอยู่อย่างเดียวว่ามีเพียงการเลือกตั้งและประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น

แต่คนที่มีสติปัญญาต้องเอาตุ้มหูหนักๆ ถ่วงหูไว้เวลาฟังนายพิชัยพูด

เพราะเหตุผลของนายพิชัยนั้นถูกเพียงส่วนเดียวหรือเสี้ยวเดียว

 

ทั้งๆ ที่อ้างตนเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือนนายพิชัยจงใจไม่พูดถึงเรื่องปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจการค้าโลกตกต่ำ ทำให้ทุกประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง (รวมทั้งไทย) ได้รับผลกระทบหนัก และปัจจัยนี้เป็นที่รับรู้และยอมรับทั่วโลกว่าเป็นปัญหาหลัก

ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูงกว่าไทยอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ส่งออกก็ติดลบมาหลายเดือนต่อเนื่องกัน ทั้งที่ประเทศเหล่านี้มีประชาธิปไตย

แต่นายพิชัย ไม่พูดถึง กลับย้ำพูดแต่ว่าส่งออกไทยติดลบเพราะไม่มีประชาธิปไตย นานาชาติไม่ยอมรับ อ้างว่าการลงทุนต่างประเทศลดลงมาก อ้างว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเพราะประเทศนี้ปกครองโดยรัฐบาลทหาร

สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น นอกจากส่งออกจะติดลบเช่นเดียวกับไทยแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจก็ใกล้เคียงกับไทยหรือน้อยกว่า

เอาเฉพาะปี 2558 สิงคโปร์โต 2.1% ต่ำสุดรอบ 9 ปี เกาหลีใต้โต 2.9% ญี่ปุ่นโต 0.4% ไทยโต 2.8%

หรือหากเทียบกับประเทศคุณพ่อประชาธิปไตยอย่างอเมริกาก็โตแค่ 2.4%

ถามว่าประเทศเหล่านี้โตต่ำกว่าศักยภาพไหม ต่ำกว่าแน่นอน

 

ถ้าคิดตามทฤษฎีของนายพิชัย จะเอาอะไรมาอ้างว่าทำไมโตต่ำกว่าศักยภาพ คงอ้างไม่ได้แน่ๆ ว่าเป็นเพราะรัฐบาลอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

พอเทียบกับประเทศที่เจริญกว่าไทยอย่างนี้นายพิชัยก็คงจะอ้างบ้างล่ะว่าจะนำมาเทียบกันไม่ได้ เพราะระดับเศรษฐกิจต่างกัน ถ้าเช่นนั้นนายพิชัยและพรรคเพื่อไทยก็ไม่สมควรมาอ้างบ่อยๆ ว่า ส่งออกไทยและเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า ลาว เขมร กัมพูชา เวียดนาม

เพราะในความเป็นจริงประเทศเหล่านี้มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและขนาดเศรษฐกิจน้อยกว่าไทย

อันที่จริง ลาว เขมร กัมพูชา เติบโตสูงกว่าไทยมาตั้งแต่หลังปี 2540 แล้วแม้แต่ในยุคคุณทักษิณผู้เก่งกาจ เช่นปี 2544 ซึ่งเป็นปีแรกที่คุณทักษิณบริหารประเทศ จีดีพีไทยอยู่ที่ 3.4% เขมร 8% พม่า (ปกครองโดยเผด็จการ) 11.3% ลาว 5.8% หรือในยุคคุณยิ่งลักษณ์ ปี 2554 ไทยโต 0.8% เวียดนาม 6.2% ลาว 8% และไม่ใช่แค่สูงกว่าไทยแต่สูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียนทั้งหมดอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยการเมืองของไทยมีส่วนฉุดรั้งเศรษฐกิจ แต่ปัญหาการเมืองที่ว่านั้นไม่ได้เกิดเฉพาะช่วงหลังจากรัฐประหาร 2557 แต่อย่างใด

ปัญหาการเมืองที่ดำเนินมากว่า 10 ปีนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากพรรคคุณทักษิณหรือพรรคของนายพิชัยเอง

เรื่องส่งออก ติดลบมาตั้งแต่ยุคยิ่งลักษณ์ แต่นายพิชัยไม่พูดถึง เช่น ปี 2556 เดือนกุมภาพันธ์ ติดลบ 5.8% พฤษภาคม ติดลบ 5.3% กันยายน ติดลบ 7.1% รวมทั้งปีติดลบ 0.36%

 

ดูเหมือนนายพิชัยจะพุ่งเป้าขย้ำโจมตี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลปัจจุบันเป็นพิเศษ ล่าสุดอ้างว่าคนตกงานพุ่ง แสดงว่ารัฐบาลล้มเหลว

แต่คำว่าคนว่างงานพุ่งนั้นควรจะเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยทำงานจะถูกต้องกว่าไหม เพราะนายพิชัยพูดกั๊กๆ ว่า การว่างงานของคนไทยเพิ่มขึ้น 1.2 แสน แต่ไม่ได้บอกเปอร์เซ็นต์ เพราะขืนบอกเป็นเปอร์เซ็นต์คงกลัวคนจะรู้ว่าอันที่จริงอัตราการว่างงานของคนไทยต่ำเกือบที่สุดในโลกคือประมาณ 1%

ในขณะที่สิงคโปร์ว่างงาน 3% (เพราะคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะโตแค่ 1-1.5% ส่วนของไทยคาดว่าจีดีพีจะโตเกิน 3%) เกาหลีใต้ 4.1% ญี่ปุ่น 4% กว่าๆ อเมริกาเกือบ 5% ฝรั่งเศสดินแดนแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตยนั้นว่างงานเกิน 10% มาหลายปีติดต่อกัน เพิ่งมาปีนี้ที่ลดลงต่ำกว่า 10% แต่ก็ยังสูงอยู่ที่ 9.6%

เรื่องการลงทุนจากต่างประเทศที่นายพิชัยพูดบ่อยมากติดต่อกันมาหลายเดือนว่าลดลงมากนั้น น่าจะหาตัวเลขมาเปรียบเทียบชัดๆ ว่า ยุคของนายพิชัยทั้งในรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่นายพิชัยร่วมอยู่ด้วยกับปัจจุบัน แต่ละเดือนแต่ละปี การลดลงเป็นเท่าไหร่อย่างไร เช่นเดียวกับข้อมูลอื่นๆ เพราะนายพิชัยไม่เคยมีตัวเลขมาอ้างอิงแต่ชอบพูดตีขลุมรวมๆ

ปกติคนที่ยกตนเป็นกูรูเศรษฐกิจคนอื่นๆ เวลาเขาวิจารณ์ใครอย่างมั่นใจ เขามักจะทำการบ้าน มีตาราง มีตัวเลขมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ

การออกมาโจมตีนายสมคิดแบบหยุมหยิมจิกกัดได้ทุกเรื่องอาจทำให้นายพิชัยและพรรคเพื่อไทยถูกมองว่าเป็นพวกใจแคบอาฆาตแค้น ที่นายสมคิดในฐานะคนที่เคยอยู่ข้างเดียวกับคุณทักษิณ บัดนี้มาทำงานให้กับ คสช.

 

ตอนเป็นรัฐมนตรีพลังงานยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายพิชัยได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่ารัฐมนตรี “ไอเดียกระฉอก” เพราะชอบมีโปรเจ็กต์ออกมาขายฝันเต็มไปหมด แต่ไม่ค่อยมีการนำไปปฏิบัติหรือประสบความสำเร็จ

ผลงานที่ถือว่าลือลั่นในทางลบของนายพิชัยก็คือการยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ที่ได้หาเสียงไว้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้เชี่ยวชาญ เมื่อยกเลิกจริงก็ทำเอาโครงสร้างน้ำมันและแผนพลังงานทดแทนปั่นป่วนไปหมด

เพราะเมื่อยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนมีผลให้ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 7-8 บาท ก็จริง ชาวบ้าน (บางกลุ่ม) ชอบใจ แต่เมื่อลดแล้วกลายเป็นว่าพวกขับรถยนต์ดันแห่ไปเติมน้ำมันเบนซินเพียวๆ เพราะเชื่อว่าดีต่อเครื่องยนต์มากกว่าน้ำมันที่ผสมเอทานอล (แก๊สโซฮอล์)

จึงถูกโจมตีว่าลดราคาน้ำมันเพื่ออุ้มคนรวยและยังทำลายแผนการสนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานทดแทนที่อุตส่าห์รณรงค์กันมานาน

วิธีนี้เป็นการสร้างฝันระยะสั้นมากและรวดเร็วทันใจให้กับประชาชนไม่ต่างจากการเล่นมายากล แต่สุดท้ายไปไม่รอด ต้องกลับบมายอมรับความจริงและเก็บเงินเข้ากองทุนเหมือนเดิม คราวนี้คุณยิ่งลักษณ์อ้างว่าไม่เคยหาเสียงว่าจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน เป็นแค่ “งดเก็บชั่วคราว”

ทำให้สื่อมวลชนวิจารณ์วิสัยทัศน์ของนายพิชัยในคราวนั้นว่า “ลิงแก้แห”

พร้อมกันนั้นนายพิชัยถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ หลังจากดำรงตำแหน่งไม่ถึง 6 เดือน

นายพิชัยบอกว่ารัฐบาลนี้แจกเงินคนจนเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น ขาดวิสัยทัศน์

ก็เลยน่าตั้งคำถามว่าการเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 7-8 บาทต่อลิตร คิดสั้น (เพราะหวังคะแนนเสียง) ยิ่งกว่าไหม

ยังไม่นับโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ด โดยไม่คัดกรองว่าคนนั้นเป็นชาวนาตัวจริงหรือตัวปลอม ที่ก่อความเสียหายนับแสนล้านบาททั้งที่นายพิชัยเคยสนับสนุนและมั่นใจว่าการจำนำข้าวจะช่วยยกระดับราคาตลาดโลกได้

ซึ่งเป็นการขายฝันที่เป็นไปไม่ได้ ไม่รู้จักประมาณตน ไม่พอเพียง เพราะตลาดโลกใหญ่เกินกว่าประเทศเล็กๆ อย่างไทยจะไปควบคุมได้