มนัส สัตยารักษ์ ตีแผ่ โครงสร้างพื้นฐาน เหมือน ต่างคน ต่างคิด ต่างทำ

ภาพสัญญาณไฟแยกบางยี่ขัน ผมสำเนามาจากเพจของผู้ใช้นามว่า “ขอเถอะครับ” ในเฟชบุ๊ก

มีคำบรรยายเหนือภาพว่า

“ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจ” ครับผม!”

มันเป็นภาพที่บอกสภาพสังคมของคนกรุงเทพฯ หลายประการ ผมเคยเขียนถึงภาพคล้าย “กองขยะ” ทำนองนี้หลายหน แต่ใช้คำพูดหรือบรรยายภาพไม่ตรงเป้าและไม่กระชับเท่าคุณ “ขอเถอะครับ” ที่ยกเอาคำว่า “ดุลพินิจ” มาใช้อย่างเหมาะสม

สถานะแรก (ในฐานะเป็นรูปธรรมอันรกรุงรังและสับสน) คือ แสดงให้เห็นว่าเป็นการ “สร้าง” ที่ปราศจาก “โครงสร้างพื้นฐาน” หรือไม่มี Infrastructure

โยธาธิการ การไฟฟ้า การประปา โทรศัพท์ วิศวกรรมจราจร งานระบายน้ำ กทม. ผังเมือง ฯลฯ ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ มีปัญหาอะไรขึ้นมา ต่างคนต่างก็แก้กันไป

ทุบ รื้อ ขุด ทำใหม่ ทำเพิ่มเติม ย้าย เปลี่ยน ทำป้ายเตือน และ ฯลฯ ก็ว่ากันไปด้วยระบบตัวใครตัวมัน อย่างที่คนยุคใหม่เขาพูดกันว่า “เอาที่สบายใจก็แล้วกัน”

จากภาพถ่ายนี้เห็นเสาไฟฟ้าซีเมนต์ฟากละต้น (ถ้านับรวมเสาเหล็กก็เป็น 5 ต้น) หลายแห่งเราอาจเห็นเสาไฟฟ้าซีเมนต์มากกว่า 4 ต้น (ตามกำลังงบประมาณ) ไม่ตั้งฉาก เอนไปคนละทางด้วยระบบของใครของมัน

สถานภาพถัดมา (ในลักษณะนามธรรม) ก็คือ คนกรุงเทพฯ ไม่มีมีวินัย หัวหมอ หัวดื้อ สอนยาก ต้องย้ำซ้ำซากกันทุกกระบวนท่า ย้ำมากเกินไปจนกระทั่งว่าทุกการตัดสินใจจะทำอย่างไรต้องใช้ “ดุลพินิจ” ตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งการเลือกสีเสื้อที่จะใส่ (ฮา)

ykjtjrhr

ขออธิบายรายละเอียดจากภาพ “แยกบางยี่ขัน” ข้างต้น เราจะเห็นขัดตาอยู่พอสมควรตรงที่ขอบโค้งทาสีแดงสลับขาวบอกยืนยันว่า “ห้ามจอด” อีกชั้นหนึ่ง ด้วยว่าตามกฎจราจรทั่วไปเขาก็ห้ามจอดตามแยกหรือหัวมุมของถนน (โดยไม่ต้องทาสี) อยู่แล้ว

อย่างน้อยผู้ใช้รถใช้ถนนก็น่าจะรู้โดย “สามัญสำนึก” หรือโดยธรรมชาติว่าตรงนั้นจอดแล้วอาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นได้

มีป้าย “ให้เลี้ยวซ้าย” พร้อมด้วยลูกศรอยู่ 2 ป้ายความหมายขัดแย้งกัน ซึ่งทำให้ผู้ใช้รถจำเป็นต้องใช้ดุลพินิจ

ป้ายเล็กติดตั้งแบบถาวรกับเสาสัญญาณไฟจราจร มีข้อความพร้อมลูกศรสีดำชี้ไปที่เส้นบนถนนว่า “เลี้ยวซ้ายรอสัญญานที่นี่” แต่ดันมีลูกศรสีเขียวชี้ไปทางซ้ายให้ต้อง “ดุลพินิจ” อีกดอกหนึ่ง!

ตรงจุดนี้ก็เป็นการย้ำกฎจราจรที่ห้ามมิให้จอดรถล้ำเส้นขณะติดสัญญาณไฟแดง กฎจราจรนี้เท่ากับประจานนิสัยสันดานความไม่มีวินัยของคนกรุง พวกเขาคงจะรู้สึก “ขาดทุน” หรือ “เสียเปรียบ” ถ้าจะต้องหยุดรถหลังเส้น

ในภาพจะเห็นผู้ขับขี่ จยย. นายหนึ่งล้ำเส้นออกมาเกือบถึงกลางแยก มันเป็นภาพธรรมดาของชาติที่ไม่มีวินัย ไม่ใช่การแสดงและไม่ใช่ภาพบังเอิญ

มีป้ายขนาดย่อมบนขาหยั่งเหล็กวางหน้าเสาสัญญาณไฟอีกอันหนึ่ง มีข้อความพร้อมเครื่องหมายเลี้ยว “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด”

ป้ายนี้เจตนาเพื่อระบายรถให้ออกไปทางซ้ายได้อย่างมั่นใจขึ้น และหวังให้รถที่ไม่เลี้ยวซ้ายเปิดทางให้แก่รถที่จะเลี้ยว และที่ไม่ใช่ป้ายถาวรก็คงจะห้ามเลี้ยวเป็นบางเวลา

ป้ายแบบนี้ควรใช้ดุลพินิจให้รอบคอบ หลานผมเป็นโปรแกรมเมอร์คอมพิวเอตร์ ได้ใบอนุญาตขับขี่มาใหม่เอี่ยมเลี้ยวซ้ายโดยไม่เบารถจนผมตกใจโวยวายขึ้น เขาพูดแบบคนทำที่ปฏิบัติตามโปรแกรมว่า “ป้ายบอกเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด”

รูปนี้นอกจากจะบอกความไม่มีระเบียบวินัยแล้ว ยังบอกถึงความไม่มีวัฒนธรรมและมีความมักง่ายด้วย เพราะตรงเสาคอนกรีตมีแปะโฆษณายาฆ่าปลวก

จะโดยรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม ทุกฝ่ายต่างโทษตำรวจ!

เช่น ตำรวจติดตั้งป้ายและเครื่องหมายต่างๆ ไม่ใช้สมอง หรือตำรวจเจ้าเล่ห์ติดตั้งไว้ให้สับสนเพื่อล่อให้ชาวบ้านทำผิด ตำรวจออกกฎจราจรให้ ให้ผู้ใช้ถนนปฏิบัติยาก ให้ฝ่าฝืนเพื่อจะได้จับกุม เพื่อจะได้ส่วนแบ่งเงินรางวัลนำจับมากขึ้น

ส่วนที่ว่าคนไทยไม่มีวินัยนั้นก็เป็นเพราะตำรวจปล่อยปละละเลย ไม่กวดขันจับกุม มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทุจริตรีดไถหรือเรียกรับเงินจากผู้ทำผิดกฎจราจร

 

เหตุที่เอาเรื่องทำนองนี้มา “บ่น” ซ้ำซาก เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ ตำรวจถูกกล่าวหาในสื่อโซเชียล 2-3 เรื่องติดต่อกัน มีคนเชื่อและประณามทันทีโดยไม่รอการตรวจสอบ

เรื่องแรกคือ มีข่าว “แชร์ว่อน” ใบสั่งข้อหา “กวนตีนเจ้าพนักงาน” ของ สภ.บางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี ต่อมาตรวจสอบแล้วเป็นการต่อเติม

เรื่องที่สองคือ ฝรั่งถูกตำรวจจราจรจับข้อหาดัดแปลงท่อไอเสียเสียงดังและถูกปรับหนึ่งพันบาท ทั้งที่รถจักรยายนต์เพิ่งซื้อออกมาจากร้าน ต่อมาฝรั่งออกมาสารภาพผิด

และสดๆ ร้อนๆ พาดหัวข้อข่าวในเพจว่า ตำรวจ “ปล่อย” ตัวนายบอยที่ทำร้ายร่างกายลูกนายพล แต่อ่านเนื้อในมีข้อเท็จจริงว่าตำรวจกำลังรอหมายจับจากศาล

 

การประชุมร่วมระหว่าง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ

ตอนหนึ่ง นายกรัฐมนตรีแสดงความเห็นอกเห็นใจข้าราชการ โดยเฉพาะตำรวจ “…ท่านต้องดูแลเขา ก่อนจะเอาอะไรจากเขา ท่านต้องกีฟเขา ไม่ใช่จะเอาจากเขาอย่างเดียว เทกแคร์เขาบ้างสิ อยากให้ดูแลตำรวจบ้าง อาวุธปืนและวิทยุเขามีเหรือเปล่า ตำรวจต้องหามาเองทั้งหมดแหละ”

“…วันหยุดก็ไม่ได้กลับบ้าน ปีใหม่ก็ไม่ได้กลับบ้าน แล้วถูกด่าอีก…”

กรณีตำรวจถูกประณามโดยไม่เป็นธรรม ถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงิน นายกรัฐมนตรีพูดถึงเรื่อง “สมยอม”

“…ถ้าไม่ผิดไปจ่ายให้ตำรวจทำไม ตามกฎหมายผิดทั้งผู้รับและผู้ให้ ถ้าจะกล่าวหาตำรวจอย่าพูดปากเปล่า ไปหาพยานมา มิฉะนั้นเสียหายกันหมด”

ในเรื่องปฏิรูปตำรวจ นายกรัฐมนตรีดูจะไม่คล้อยตามเสียงเรียกร้องในประเด็นลดอำนาจ หรือไม่เอาตำรวจแต่งเครื่องแบบ เพราะจะยังไงก็ยังต้องใช้ตำรวจคนเดิมอยู่นั่นเอง

ถอดเทปมาบางส่วน ไม่ใช่เพื่อเชียร์นายกรัฐมนตรี แต่เพื่อสะกิดเตือนสมาชิกสภาขับเคลื่อนคนปากกล้า เท่านั้น