ขอบคุณข้อมูลจาก | คอลัมน์ เขย่าสนาม โดย จริงตนาการ |
---|---|
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 ธันวาคม 2559 |
เผยแพร่ |
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร” กษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงสนพระราชหฤทัยในกีฬาหลายประเภท เช่นเดียวกับพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนหน้านี้
ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงโปรดปรานกีฬาหลายอย่าง โดยเฉพาะฟุตบอล ที่ทรงเล่นตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เริ่มจากที่โรงเรียนจิตรลดา รวมทั้งทรงม้า ซึ่งพระราชธิดาสองพระองค์ อย่าง “พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา” และ “พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์” ทรงโปรดและทรงม้าได้อย่างปรีชาสามารถเช่นกัน
พิพิธภัณฑ์กีฬาแห่งชาติได้รวบรวมพระราชประวัติด้านกีฬาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ไว้มากมาย
ครั้งเสด็จประพาสยุโรปกับ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” และ “พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงสเก๊ตน้ำแข็งร่วมกับ “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี” โดยสเก๊ตน้ำแข็งก็เป็นกีฬาโปรดของในหลวงรัชกาลที่ 8 และในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก่อนเช่นกัน
นอกจากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ก็ยังมีความสนพระราชหฤทัยในกีฬาเรือใบเช่นเดียวกับพระบิดา เคยทรงเรือใบร่วมกับพระบิดาและทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ในระหว่างแปรพระราชฐานประทับที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ยังมีบันทึกที่พิพิธภัณธ์กีฬาเกี่ยวกับพระราชประวัติด้านการกีฬาของในหลวงรัชกาลที่ 10 อีกว่า “ทรงมีพระอัธยาศัยรักความผจญภัยโลดโผนที่ต้องออกกำลังกายมาแต่ทรงพระเยาว์ ทั้งการทรงม้าซึ่งทรงฝึกหัดตั้งแต่พระชนมพรรษาเพียง 11-13 พรรษา กระทั่งทรงขี่ได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่ที่โปรดมากในตอนนั้นคือ การสร้างค่าย และโปรดให้มีกิจกรรมประจำค่ายซึ่งพระองค์กับทหารราชองครักษ์สร้างขึ้นเอง กิจกรรมที่โปรด ได้แก่ การดับเพลิงเผาค่าย การซ่อมแซมค่าย และการจัดเวรยามเฝ้าค่าย ซึ่งทรงอยู่ยามตลอดทั้งคืนด้วยพระองค์เอง”
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลเป็นกีฬาที่พระองค์ทรงโปรดอย่างมาก เห็นได้จากการได้รับการยกย่องให้เป็น “เจ้าฟ้าดาราลูกหนัง” ตามที่สมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้มีการบันทึกไว้
พระอาจารย์ของพระองค์ในขณะที่ทรงพระเยาว์ คือ “พล.ต.สำเริง (สำรวย) ไชยยงค์” ผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านฟุตบอลและกีฬาอย่างเอกอุ เนื่องจากได้รับทุนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชให้ไปศึกษาต่อด้านพลศึกษาและสอนฟุตบอลที่ประเทศเยอรมนี
รวมทั้งยังเป็นนักเตะทีมชาติไทยในยุคก่อนด้วย
“จิรัฏฐ์ จันทะเสน” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยาม ย้อนอดีตว่า ตอนที่รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์ด้านกีฬาให้พระบรมวงศานุวงศ์ พล.ต.สำเริง ก็ได้ทำทีมฟุตบอลราชวิถีด้วย
ซึ่งทีมราชวิถีจะลงซ้อมที่ตำหนักสวนพุดตาน พระราชวังดุสิต บริเวณเดียวกับที่พระบรมวงศานุวงศ์ทรงกีฬา
ทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงร่วมซ้อมกับนักเตะทีมราชวิถีที่มีทั้ง “จุฑา ติงศภัทิย์, อำนาจ เฉลิมชวลิต, นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์” ที่ล้วนแต่เป็นนักเตะทีมชาติในยุคนั้นทั้งสิ้น
ตำแหน่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเล่นในช่วงแรก เป็นกองหน้า ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นกองหลัง และทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมนักเรียนโรงเรียนนายร้อยดันทรูน ที่ทรงไปศึกษาต่อด้านวิชาทหารที่กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย คว้าแชมป์ฟุตบอลระดับอุดมศึกษาของออสเตรเลียได้ 3 สมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรก
ถึงแม้ว่าจะทรงโดดเด่นในการยืนแนวรับทั้งตำแหน่งแบ๊กซ้ายและแบ๊กขวา แต่ในฐานะกองหน้านั้น พระองค์ก็ทรงยิงประตูได้อย่างมากมาย
พล.ต.สำเริง เล่าว่า ในช่วงที่พระองค์ทรงศึกษาที่โรงเรียนเตรียมนายร้อย และเล่นในตำแหน่งกองหน้า ตอนนั้นทรงยิงประตูได้มากมาย จนเป็นดาราของโรงเรียนเลยทีเดียว
หลังจากนั้นทรงย้ายมาศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยดันทรูน รุ่นพี่เปลี่ยนให้ทรงไปยืนแนวรับ ทำให้สถิติการยิงประตูไม่โดดเด่นเหมือนเดิม
จนกระทั่งเสด็จกลับมาประเทศไทยก็ยังทรงเล่นฟุตบอลกับข้าราชบริพารอย่างต่อเนื่อง
เมื่อปีที่แล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชดำริในการจัดกิจกรรมปั่นเพื่อแม่ “Bike For Mom” โดยเป็นกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 12 สิงหาคม
รวมทั้งปั่นเพื่อพ่อ “Bike For Dad” เฉลิมพระชนมพรรษา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีผู้บริหารประเทศ ข้าราชการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมกิจกรรมกันอย่างมากมาย
สำหรับกีฬาจักรยานนั้น พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ อย่างหาที่สุดมิได้ ทรงพระราชทานถ้วยรางวัลแด่นักกีฬาประเภทเสือภูเขาถึง 21 รางวัล มาตั้งแต่ปี 2543
“พล.อ.เดชา เหมกระศรี” นายกสมาคมกีฬาจักรยานฯ กล่าวถึงพระราชดำรัสที่ทรงมีกับสมาคมว่า ขอให้กระจายการจัดการแข่งขันจักรยานไปให้แพร่หลายแก่ประชาชนทั่วไป เพราะเป็นการสร้างความสามัคคี เป็นการออกกำลังกาย และให้ความเพลิดเพลินอีกด้วย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกับกีฬาอื่นๆ ของประเทศไทยอีกมากมาย อาทิ วงการมวยไทย ที่พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์สมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ มาอย่างยาวนาน และทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับมวยไทยเมื่อปี 2553 กับ “วีระ โรจน์พจนรัตน์” ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมในช่วงนั้นว่า มวยไทยเป็นสมบัติของชาติ ประสงค์ให้คนไทยช่วยกันอนุรักษ์และสืบสาน ทั้งนี้ การประกาศให้มวยไทยเป็นมรดกชาติ จะเป็นประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้มวยไทยสูญหาย ตลอดจนเป็นเส้นทางนำไปสู่การเข้าเป็นภาคีด้านมรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้กับยูเนสโกต่อไป
ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นกษัตริย์นักกีฬา ทั้งทรงกีฬาโดยพระองค์เองและทรงสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองของวงการกีฬาไทยมาอย่างต่อเนื่อง ขอพระองค์ทรงพระเจริญ และทรงเป็นศูนย์รวมความสุขของคนไทยตราบนานเท่านาน