ประกวดเรื่องสั้น : การตายของชายคนหนึ่ง

โดย ไอจิณณ์

07.00 น.

เสียงทำนองเพลงเปิดคลอเบาๆ ไม่อาจทะลุแทรกแซงเสียงพูดคุยของพนักงานร้านออกมาได้ ผมได้ยินประโยคที่พวกเขาพูดคุยกัน ชัดเจนยิ่งกว่าเนื้อหาของเพลงด้วยซ้ำ นาฬิกาทรงกลมบนผนังสีสดใสบอกเวลา 6 โมงเช้า หากไม่ใช่ร้านที่เปิดตลอดเวลา คงไม่มีที่ไหนที่ผมจะพาร่างอันแห้งแล้งของตัวเองไปทิ้งเอาไว้ได้ ในช่วงเวลาเช่นนี้

พวกเขาพูดคุย หัวเราะกัน มีบ้างบางทีที่ผมรู้สึกว่า มีบางสายตามองผ่านมา มันหยุดก่อนจะเลื่อนผ่านไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว มีเสียงกระซิบกระซาบดังตามมา ผมอยากให้ดังกว่านั้นอีกนิด เพื่อที่ผมจะได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่มาคิดอีกที ผมว่าไม่ได้ยินคงดีกว่า หากว่ามันเป็นการนินทาลูกค้ารายเดียวที่ดันโผล่มาทำลายความครื้นเครงของเหล่าพนักงานล่ะ? ผมคงทนไม่ได้ แค่คำตำหนิที่ได้รับมาตลอดช่วงชีวิตของผม มันก็มากจนจะเกินทนไหว ไหล่ของผมหนักอึ้งจนผมได้แต่นั่งห่อตัวเหมือนคนขี้แพ้ ผมถอนหายใจได้รอบที่สามตอนที่เธอยื่นม็อบถูพื้นเข้ามาใต้โต๊ะผม

“โทษทีค่ะ” เธอพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง จนดูเหมือนเธอกำลังพูดกับพื้น ไม่ใช่ผม

“เอ่อ…”

“ว่าไงคะ” ดวงตากลมโตสดใสประสานมาเป็นครั้งแรก ดวงหน้าแบบเด็กสาววัยรุ่นสะท้อนอยู่ภายใต้แสงขมุกขมัวของไฟนีออน

“ผมขอกาแฟเพิ่มอีกแก้วครับ”

“สักครู่นะคะ”

ผมคิดว่าเธอคงละมือจากม็อบถูพื้นแล้วจะจัดการให้ แต่เปล่า…เธอยังคงง่วนกับการถูพื้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุมจนกว่ามันจะกลายเป็นมันวับในสายตาเธอ ผมคิดว่าผู้จัดการเธอคงดุ ผมเลยรอต่อไป โดยการซดกาแฟในแก้วทั้งหมดรวดเดียว แล้วปล่อยสมองให้โลดแล่นไปกับความตึงเครียดที่ติดตามผมมา ผมเผลอหลับตาและถอนหายใจออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นาฬิกาบนผนังบอกเวลาที่ล่วงพ้นไปกว่า 10 นาทีแล้ว

“กาแฟได้แล้วค่ะ”

ผมถอนหายใจโล่งอก หันไปตามเสียงของเธอ พนักงานสาวยิ้มแย้มสดใส วางแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมฉุย ลงที่โต๊ะด้านหลังผม ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณ เขานั่งจิบกาแฟที่ควรจะเป็นของผมพลางกางหนังสือพิมพ์อ่านไปด้วย ผมมองไปรอบตัว ผู้คนตื่นจากนิทรา พร้อมก้าวสู่การเดินทางในเช้าอีกวันกันแล้ว พวกเขาเริ่มเปิดประตู เดินเข้ามา หาที่นั่งสักที่ในร้านนี้ เป็นสัญญาณกระตุ้นให้ผมต้องลุกออกจากที่นี่ไปเสียที

การมาของคนอื่น จะยิ่งขับเน้นให้ผมเห็นความแปลกแยกของตัวเองมากขึ้น ผมจึงวางเงินไว้ที่โต๊ะ เดินเปิดประตูออกจากร้านไป


ตัดภาพ

เด็กสาวในชุดพนักงานยืนตัวตรง ดวงตากลมจ้องเป๋ง เธอเหลือบมองไมค์ที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง มันมีโลโก้ช่องทีวีชื่อดังเด่นหรา ใต้มุมขวาล่างจอขึ้นตัวอักษรเล็กๆ ว่า นางสาวอินทิรา สุขเกิด อายุ 18 ปี พนักงานร้านกาแฟ

“หนูเห็นเขา…เขาเข้ามาที่ร้านแต่เช้าตรู่ เป็นลูกค้ารายแรก หน้าตาท่าทางดูดี แต่เขาดูเครียด เหมือนกับว่ามีเรื่องในใจน่ะ หนูรู้ ใช่ หนูสังเกตเห็น มันเห็นได้ง่ายมากเลย แล้วตาเขาก็ดูเศร้ามากด้วย หนูเลยเข้าไปคุยกับเขา ถามเขาว่ามีอะไรให้ช่วยไหม คุณดูเครียดจัง”

แล้วเขาว่าไง?

“เขาไม่บอกค่ะ แล้วเขาก็ออกจากร้านไป เสียดายจริงๆ เขาน่าจะบอกหนูนะ ตอนนั้น”

11.23 น.

ผมเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ทอดน่องไปตามถนนสายยาวที่คดเคี้ยวไปไม่รู้จบ แดดยามสายเริ่มเผาผิวหนังผมให้ไหม้เกรียม คอผมเริ่มแห้งผากอีกครั้ง เส้นเอ็นต้นคอแข็งตึง จนผมต้องพยายามสะบัดคอไปมา หวังคลายกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย ท่ามกลางไอร้อนระอุที่ปะทุขึ้นมาจากพื้นถนนลาดยางมะตอย คล้ายกับว่าจะมีบางอย่างปนเปล่องลอยขึ้นมาด้วย เสียงผู้หญิง เสียงผู้ชาย เสียงเล็กๆ เสียงใหญ่ๆ เสียงแหบๆ เสียงทุ้มนุ่ม เสียงแหลมปรี๊ด ทุกเสียงนั้น ผมสามารถท่องชื่อของพวกเขาออกมาได้ทุกคน แต่มันไม่สำคัญว่าคำพูดพวกนั้น เจ้าของมันคือใคร แต่มันสำคัญที่คำพูดเหล่านั้นมีความหมายเช่นไร

จู่ๆ ขาของผมก็ไร้เรี่ยวแรงจะก้าวต่อ ผมเหม่อมองไปข้างทาง ต้นไม้ต้นใหญ่ถูกปลูกเรียงกันเป็นแนวไปตามเส้นถนน รถกระบะสีดำจอดนิ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ผมเดินสาวเท้าเข้าไปใกล้ กระจกข้างคนขับถูกเปิดลงมาจนสุด ชายคนขับกำลังคุยกับคนในโทรศัพท์ด้วยเสียงที่ดังจนผิดปกติ หัวล้านของเขาเป็นมันวับยามต้องแสงแดด เหงื่อไหลซึมลงมาตามต้นคอที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตลายตารางหมากรุก บทสนทนาที่เต็มไปด้วยถ้อยคำหยาบคายหยุดลง เขายกโทรศัพท์มือถือออกห่างจากหู ก่อนจะเอามืออีกข้างปิดมันไว้

“มีอะไร นี่ไม่ใช่ที่ห้ามจอดสักหน่อย” เขาพูดห้วนๆ

“ผมแค่อยากถามทาง ได้ยินมาว่ามีชายหาดอยู่แถวนี้ เดินมาตั้งไกลแล้ว ผมยังไม่เห็นเลย ไม่ทราบว่า…”

“เดินตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอเองแหละ”

“แล้วไม่ทราบว่าอีกไกลไหมครับ”

เขาถอนหายใจหนักๆ “เดินไปก็เห็นเอง มีธุระแค่นี้ใช่ไหม ให้ผมคุยกับเมียต่อได้ยัง”

ประโยคของเขาไม่ใช่ประโยคคำถาม ผมแน่ใจว่ามันคือประโยคบอกเล่าเชิงขับไล่ดีๆ นี่เอง ผมยิ้มเจื่อนๆ บอกขอบคุณเขาแล้วรีบเดินทางต่อไป

ตัดภาพ

ชายหัวล้านยืนฉีกยิ้มกว้าง จนเสียงหลังกล้องต้องตะโกนให้เขาหุบยิ้ม มุมล่างขวาปรากฏตัวอักษรเขียนว่า นายสมบูรณ์ ประสบโชค อายุ 55 ปี อาชีพค้าขาย

เอ้า เริ่ม!

เขาเอานิ้วเคาะไมค์สองสามทีเพื่อให้แน่ใจว่ามันดัง ก่อนจะเริ่มพูด “ผมเจอเขาเดินอยู่ข้างทาง มาคนเดียว ไม่มีกระเป๋า ไม่มีอะไรเลย แล้วก็แต่งตัวไม่เหมือนคนมาเที่ยว เขาใส่ชุดสูทเต็มยศ เขามาถามทางผม”

ถามทางไปไหน?

“ชายหาดครับ มันห่างออกไปสักสามกิโลเห็นจะได้”

ใช่ชายหาดเดียวกับที่เกิดเหตุหรือเปล่า

“ใช่ครับ ใช่ๆ ผมแปลกใจมาก เขาไม่เหมือนคนอยากเล่นน้ำทะเลสักนิด แต่ผมไม่กล้าถามว่าเขาจะไปชายหาดทำไม หน้าตาเขาก็ดูเครียดด้วย แต่ผมคิดว่าเขาคงเหนื่อยเพราะเดินเท้ามาหรืออะไรสักอย่าง เลยชวนเขาให้ติดรถมาด้วยกัน ผมสงสารเขาน่ะ อีกตั้งไกล เดินไปคงลำบาก ก็คนไทยน่ะนะ มีอะไรก็ต้องช่วยกันใช่ไหม”

ตกลงคุณเป็นคนไปส่งเขาที่ชายหาดเหรอ?

“ไม่ครับ เขาปฏิเสธ จริงๆ ถ้าผมรู้ว่าเขาจะไปทำอะไรที่นั่น ผมคงดึงดันจะรับเขาขึ้นรถแล้วพาเขาไปหาอะไรกินหรือพาไปส่งที่สนามบินเพื่อให้เขาเดินทางกลับบ้านเขามากกว่า ผมอยากช่วยเขานะจากใจเลย”

พูดจบ เขาไม่ลืมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง ก่อนที่หลังกล้องจะตะโกนให้หุบยิ้มซะ


12.40 น.

สายลมร้อนของท้องทะเล พัดมาปะทะกับใบหน้าของผม จะว่าสดชื่นก็ไม่เต็มปากนักเพราะมันนำพาเอาละอองเหนอะหนะติดมาด้วย ร่างกายผมร้อนรุ่ม ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิ แต่เพราะความเศร้าหมองที่โลดแล่นอยู่ข้างในตัวผมต่างหาก มันโจนทะยานไปมาในช่องท้อง คืบคลานขึ้นมาตามลำคอ เลื้อยไปเรื่อยจนถึงดวงตาทั้งสองข้างของผม มันเริ่มร้อนผ่าว และก่อนที่ผมจะทันได้รู้ตัว หยดน้ำตาก็ไหลรินออกมาเหมือนเขื่อนแตก ผมสะอื้นเหมือนเด็กเล็กๆ คุกเข่าลงบนผืนทรายอันอ่อนนุ่ม มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง ผมร้องไห้จนตัวโยน ร้อง…ให้สาสมกับที่เก็บกลั้นมันมาทั้งชีวิต มันคือการลงโทษของน้ำตา ที่ผมบังอาจกักขังมันเอาไว้ ภาพความทรงจำหมุนเวียนไปมาใต้ฝ่ามือของตัวเอง คนที่เป็นแสงสว่างของผม สิ่งซึ่งควรจะเป็นแสงสว่างในชีวิตผม พร่าเลือนแล้วหลุดลอยปลิวหายไปราวกับลูกโป่งที่ทำหลุดมือ ผมในห้วงความคิดกำลังยื้อหยุดมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผมวิ่งไล่ตามจนเฮือกสุดท้าย ลูกโป่งปลิวหายไปบนท้องฟ้า โดยไม่คิดหวนคืนมาอีกเลย

หากหัวใจแหลกสลายได้จริง ป่านนี้ใต้ซี่โครงด้านซ้ายของผม คงไม่มีอะไรเหลืออยู่ นอกจากเศษธุลีไร้ค่า

ผมได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกลูกของเธอที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้กับผมให้กลับไปหาเธอ ใบหน้าของเธอภายใต้ปีกหมวกกว้าง รวมทั้งใบหน้าของชายที่ยืนเคียงข้างเธอ ไม่ปิดบังความหวาดระแวงใดๆ ทันทีที่พวกเขาได้ตัวลูกกลับคืน พวกเขาหันหลังแล้วรีบสาวเท้าเดินห่างออกไป ไม่ลืมดุด่าลูกตัวเองที่วิ่งเล่นไปเจอคนบ้าเอาได้

คนบ้า…

ทุกคนที่ผมรู้จักแอบนิยามผมแบบนั้น แม้คุณหมอที่ผมเพิ่งไปพบมาเมื่อวานก่อน ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าผมเป็นโรคซึมเศร้าเท่านั้น สิ่งที่ผมควรทำคือ กินยาตามที่สั่งและทำจิตใจให้ผ่อนคลาย

ใครมันจะไปผ่อนคลายได้วะ…ผมอยากตะโกนใส่หน้าหมอแบบนั้น แต่ผมไม่ได้ทำ ผมกลับมาที่บ้านแสนอ้างว้างของตัวเอง นั่งกินข้าวคนเดียวแล้วก็เศร้า ไม่รู้ว่าที่มาความเศร้านั้นมาจากไหนแน่ แต่ผมเศร้า เศร้ามากจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจออกมาจากที่นั่น

เสียงคลื่นซัดสาด คล้ายกับจงใจเรียกร้องความสนใจจากผม ผมหันไปมองมันผ่านม่านน้ำตาของตัวเอง มันยังคงสวยงามเช่นเดิม เช่นที่มันเคยเป็นมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม มันไม่เคยอ่อนแอปล่อยให้ความงามของมันต้องบุบสลายลงไปตามกาลเวลา

ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังคาดหวัง ผมแค่ไม่อยากผิดหวังอีก แต่แล้วผมก็หนีมันไม่พ้น รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบลงไปกองอยู่ตรงข้อเท้า ไม่มีข้อความเข้า ไม่มีสายเรียกเข้ามา ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ผมเหมือนไร้ตัวตนสำหรับโลกใบนี้

ฉันชอบทะเลที่นี่นะคะ ปีหน้าเรามาด้วยกันอีกนะ

เสียงของเธอลอยละล่องมาตามสายลม มาจากที่ไกลแสนไกล ผมปล่อยให้เสียงของเธอนำทางผมไป ทะเลสีฟ้าใสตัดกับทรายสีขาวเนียน คือ ภาพสุดท้ายที่ผมอยากเห็น ผมพอใจ ปิดตาลงแล้วออกเดินทาง เท้าของผมสัมผัสทรายที่เหมือนพรมหนานุ่ม ผ่านไปจนสัมผัสได้ถึงน้ำทะเลร้อนๆ ที่ท่วมหลังเท้าผม ความร้อนของมันทำให้ไฟในใจผมสงบลง

เงียบ…จนได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง ผมเดินหรือไม่ก็ล่องลอยลงไปในน้ำ แล้วปล่อยให้ทะเลกลืนกินตัวผมรวมทั้งรับเอาจิตวิญญาณของผมไป


ตัดภาพ

ทั้งคู่ยืนจัดเสื้อผ้าให้กัน พวกเขาเก็บอาการตื่นเต้นแทบไม่อยู่ ตัวอักษรขึ้นว่า นายสมภพ อิ่มเอม อายุ 35 ปี และ นางชุลีพร อิ่มเอม อายุ 32 ปี (ครอบครัวที่พักรีสอร์ตใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ)

ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “เราเห็นเขา เขามาคนเดียว ยืนนิ่งอยู่บนชายหาด ตอนแรกเราคิดว่าเขาแค่มาชมวิวทะเลเฉยๆ”

ฝ่ายชายพยักหน้าหงึกหงัก ดูเหมือนเขาอยากพูดอะไรบ้าง แต่ความตื่นเต้นทำให้เขาเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก

เขาได้พูดอะไรหรือเปล่า?

พวกเขาส่ายหัวพร้อมกัน “ไม่นะคะ พวกเราเข้าไปทักทายเขานะคะ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเลย”

“สงสารเขานะครับไม่น่าคิดสั้นเลย” ในที่สุดเขาก็คิดคำพูดออก เขาดูดีใจที่ได้มีส่วนร่วม

เธอลังเล สายตาจ้องลงไปที่โลโก้ไมโครโฟน เลียริมฝีปากก่อนจะถาม

“พวกเราจะได้ออกทีวีแน่ๆ ใช่ไหมคะ”

ตัดภาพ

หญิงสาวในชุดเสื้อคลุมแจ๊กเก็ต ท่าทางทะมัดทะแมง กำลังยืนถือไมค์อันเดิมไว้ในมือ ใบหน้าเรียวเล็กเผยยิ้มอ่อนหวานละมุน

“ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าอยู่เป็นจำนวนมากในสังคม แต่มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้วิธีจัดการกับโรคนี้ของตัวเองอย่างไร และมีบางส่วนของผู้ป่วยที่ตัดสินใจทำอัตวินิบาตกรรม เหมือนดังเช่นชายผู้นี้ นอกจากทางรัฐจะต้องช่วยแพร่หลายข้อมูลของโรคซึมเศร้าให้แก่ประชาชนได้รับทราบกันอย่างทั่วถึง เพื่อให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องแล้ว ครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดเอง ก็ควรหมั่นสังเกตและเอาใจใส่คนรอบข้างให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อันน่าสลดใจเช่นนี้อีก ทางช่อง 66 หวังมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยโรคนี้ทุกๆ คนค่ะ”

พอได้ยินเสียงคัต เธอก็กลอกตา หยิบพัดในมือทีมงานมาพัดใส่หน้าตัวเองแรงๆ ยืนเท้าเอวก่อนบ่นเสียงดังแบบที่ตั้งใจให้ทุกคนได้ยิน

“มีที่ตายตั้งเยอะแยะ ไม่มาตาย ดันมาตายที่ทะเล ร้อนตับจะแตก ตายแล้วยังมาเป็นภาระคนอื่นอีก เอ้า!”