ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 มกราคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
4)ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์คือสายสัมพันธ์แห่งความรัก
พระเจ้าทรงสร้างสากลจักรวาลขึ้นเพราะความรัก และมนุษย์ก็คือภาพของพระองค์เอง
ดังนั้น ในดวงวิญญาณของมนุษย์จึงมีคุณลักษณะแห่งความรักของพระเจ้าอยู่
ทำให้มนุษย์ใฝ่ฝันที่จะไปรวมกับพระองค์
ดวงวิญญาณของมนุษย์ก็คล้ายกับเป็นผู้แปลกหน้าที่ถูกเนรเทศมา
ใฝ่ฝันคะนึงหาที่จะได้กลับไปยังบ้านเดิมของตน
5)จุดหมายของชีวิต
เนื่องจากว่าความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อพระเจ้านั้นเป็นแบบคู่รักที่มีต่อผู้เป็นที่รัก ดังนั้น ซูฟีจึงถือว่าจุดหมายของชีวิตคือการกลับไปรวมกับพระเจ้า
คือการที่ดวงวิญญาณของมนุษย์แต่ละดวงละลายหายเข้าไปในดวงวิญญาณสากล
ความมุ่งหมายของชีวิตมนุษย์จึงมิใช่การหลีกเลี่ยงจากนรกและการบรรลุถึงสวรรค์ดังที่มุสลิมจารีตนิยมเข้าใจกันโดยทั่วไป
แต่มันคือการบรรลุถึงพระเจ้า
การเข้ารวมกับพระองค์
การเข้ารวมนี้คือหลักพื้นฐานของจริยธรรมของซูฟีเป็นอุดมคติสูงสุด
6)แหล่งความรู้
แม้ว่าเราสามารถบรรลุถึงความรู้ของพระเจ้าได้โดยอาศัยญาณวิสัย (กัชฟ์) เท่านั้น
ตามความคิดเห็นของซูฟีนั้น เหตุผลไม่สามารถช่วยให้ได้รับความรู้ของพระเจ้าได้
ญาณวิสัยนั้นเป็นผลจากความดื่มด่ำ (ฮัล)
ซึ่งจะมีได้หลังจากการฝึกฝนทางจิตมาเป็นเวลานาน
7)ความดื่มด่ำ
ซูฟีชอบความดื่มด่ำซาบซึ้ง (ฮัล)
หรือประสบการณ์ทางจิตใจทำนองนั้นมากกว่าปฏิบัติกิจทางศาสนาซึ่งเป็นพิธีการ ตามปกติแล้วฝ่ายจารีตนิยมมักจะถือว่าการปฏิบัติกิจทางศาสนาที่เป็นพิธีการ (เช่น การละหมาด ถือศีลอด ฯลฯ) มีผลอยู่ในตัวเอง
แต่ตามคำสอนที่แท้จริงของอิสลามแล้ว การปฏิบัติที่เป็นพิธีการก็คือวิถีทางที่จะนำไปสู่การบรรลุถึงศีลธรรมในระดับที่สูง
การปฏิบัติเหล่านี้ไม่อาจถูกละเลยได้
ซูฟีส่วนมากก็ยึดมั่นในทรรศนะนี้ แต่เน้นความสำคัญของแง่มุมทางด้านศีลธรรมหรือด้านจิตวิญญาณของการปฏิบัติเช่นนั้นมากกว่า
ความดื่มด่ำหมายถึงภาวะของจิตที่นำไปสู่ภาวะและขั้นตอนที่สูงส่งกว่านั้น
ซึ่งหมายถึงฟะนาและบะกอ
8)การระลึกถึง (ซิกร์)
เพื่อที่จะให้บรรลุถึงภาวะแห่งความดื่มด่ำ ซูฟีต้องอาศัยการระลึกถึง ในอัล-กุรอานมีกล่าวไว้ว่า “…จงระลึกถึงพระเจ้าอยู่เสมอ”
ซูฟีจึงระลึกถึงพระเจ้าอยู่เสมอโดยการเอ่ยพระนามของพระองค์ซ้ำๆ กัน (อัสมาอุล-ฮุสนา)
หรือมิฉะนั้นก็ท่องโองการหนึ่งในคัมภีร์อัล-กุรอานอยู่ตลอดเวลา
ซูฟีกลุ่มหนึ่งๆ ก็มีวิธีระลึกแตกต่างกันไป
บางพวกก็ท่องเบาๆ
บางพวกก็ตะโกนเสียงลั่นเอะอะจนถึงกับแสดงท่าทางบ้าคลั่ง
อย่างเช่น เอามีดแทงตัวเอง กินไฟ กลืนงู เป็นต้น
9) ความชั่วร้าย
ตามความคิดเห็นของซูฟีนั้น ความชั่วร้ายที่เราเห็นอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่ของจริง
เนื่องจากว่าโลกภายนอกไม่มีความเป็นอยู่จริงๆ ฉะนั้น ความชั่วร้ายในโลกภายนอกจึงไม่มีความเป็นอยู่จริงๆ ด้วย
พวกเขาถือว่าความชั่วคือสิ่งที่ไม่มีอยู่ แต่เป็นการขาดไปหรือการไม่มีอยู่ของสิ่งที่มีอยู่
ซูฟีบางคน (อย่างช่น ญะลาลุดดีน (รูมี)) คิดว่า ถึงแม้ว่าความชั่วร้ายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงในเรื่องความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่มันก็เป็นจริงในเรื่องความสัมพันธ์กับโลกนี้ มันเป็นผลอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของการผสมกันระหว่างความมีอยู่ (ความเป็นจริง) กับความไม่มีอยู่
ถึงแม้ว่าจะมีคำจำกัดความของ “ลัทธิซูฟี” อยู่ในหนังสือภาษาอาหรับและเปอร์เซียมากมายก็ตาม แต่ความสำคัญของคำจำกัดความเหล่านี้อยู่ที่ว่ามันได้แสดงให้เห็นว่าไม่อาจให้คำจำกัดความที่เหมาะสมแก่มันได้
ผู้ที่ให้คำจำกัดความเหล่านั้นได้แต่พยายามที่จะแสดงออกมาซึ่งสิ่งที่ตัวเขาเองรู้สึกอยู่เท่านั้น แต่ก็ไม่อาจครอบคลุมเนื้อหาและความรู้สึกทั้งหมดได้
เปรียบเทียบคนตาบอดคลำช้างแล้วกล่าวว่าช้างนั้นเหมือนโน่นเหมือนนี่ซึ่งก็ถูกต้องเพียงส่วนเดียวเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ขอยกคำจำกัดความบางประโยคมาให้ดูเป็นตัวอย่างดังนี้
“ลัทธิซูฟีเป็นอย่างนี้ คือการกระทำที่พระเจ้าเท่านั้นจะทรงทราบจะผ่านไปบนเขา (คือกระทำแก่เขา) และเขาจะอยู่กับพระองค์ในวิธีที่พระองค์เท่านั้นทรงทราบ”
“ลัทธิซูฟีเป็นอย่างนี้ คือการมีวินัยควบคุมตนเองอย่างเต็มที่”
“ลัทธิซูฟี คือการไม่เป็นเจ้าของสิ่งใดและไม่ให้สิ่งใดมาเป็นเจ้าของ”
“ลัทธิซูฟี คืออิสรภาพและความเอื้ออารีและไม่มีการเหนี่ยวรั้งตนเอง”
“ลัทธิซูฟี คือการมองดูความบกพร่องของโลกแห่งปรากฏการณ์ การปิดตาต่อทุกๆ สิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพื่อไตร่ตรองถึงพระองค์ผู้ทรงอยู่ห่างไกลจากความไม่สมบูรณ์ทั้งปวง นี่แหละคือลัทธิซูฟี”
“ลัทธิซูฟี คือการควบคุมอวัยวะต่างๆ และสังเกตดูลมหายใจ” ฯลฯ
ลัทธิซูฟีไม่ใช่นิกายเพราะมันไม่มีระบบคำสอนหรือหลักเกณฑ์อะไร ส่วนวิถีทางหรือที่เรียกว่าเฏาะรีก็อตที่จะบรรลุถึงพระเจ้าก็มีอยู่มากมายหลายทางทีเดียว
คำนิยามที่เก่าแก่ที่สุดของคำว่า “ลัทธิซูฟี” คือ “การเกรงกลัวความเป็นจริงของพระเจ้า” ซูฟีมักจะเรียกตัวเองว่า “ผู้ติดตามสิ่งจริงแท้ (อะห์ลุลฮักก์)” คำว่า อัล-ฮักก์นั้นเป็นคำที่ซูฟีมักใช้กันทั่วไปเพื่อเรียกพระเจ้า ซูฟีส่วนใหญ่ถือว่าคำว่า อัล-ฮักก์ มาจากรากศัพท์ภาษาอาหรับ หมายถึง “ความบริสุทธิ์” ฉะนั้น ซูฟีจึงมีความหมายว่า “ผู้มีความบริสุทธิ์ในดวงใจ” หรือ “ผู้ที่ได้รับเลือก”
คำว่าซูฟี (Sufi) นั้นมาจากต้นตอต่างๆ นักวิชาการมุสลิมสมัยแรกๆ ถือว่า มันมาจากคำว่า “อะห์ลุส ซัฟฟาห์” (Ahl-us Saffah) คือผู้ที่ใช้ชีวิตแบบสันโดษที่อยู่ในมัสญิดของท่านศาสดามุฮัมมัดบางคนก็กล่าวว่ามาจากคำว่า “ซอฟ” ซึ่งหมายถึงแถวหรือลำดับ เพราะซูฟีอยู่ในระดับหนึ่ง
อัล-ญามิอ์ (Al-Jami) และผู้อื่นบางคนเชื่อว่ามาจากคำว่า “เซาะฟา” (ความบริสุทธิ์) ส่วนนักวิชาการตะวันตกชอบเอาคำนี้ไปเกี่ยวกับคำว่า “Sophist” (ผู้รักความรู้หรือครูอาจารย์กรีกสมัยโบราณ ซึ่งสอนวิชาปรัชญาและวาทศิลป์)
อย่างไรก็ตาม ทรรศนะที่ใหม่ที่สุดก็คือคำว่า “Sufi” มาจากคำว่า “Suf” (ผ้าขนสัตว์) เพราะเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสละความฟุ่มเฟือยทิ้งไป