วงค์ ตาวัน : ถึงวันเปิดโฉม “ว่าที่นายกฯ”

วงค์ ตาวัน

เป็นอันว่าการเมืองไทยได้เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งอย่างเต็มรูปแบบแล้ว มีกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนแน่นอนออกมาแล้ว ทีนี้จะได้รู้กันเสียทีว่า ประชาชนส่วนใหญ่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะตัดสินใจให้ใครมาเป็นนายกฯ ใครมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตย หรือฝ่าย คสช. ที่จะได้อยู่ในอำนาจต่อไป

“วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม จะได้รู้กันแน่!”

แม้เอาเข้าจริงๆ นี่ก็ถือว่าวันเลือกตั้งได้เลื่อนออกไปอีกครั้ง จากที่พูดจาเป็นมั่นเหมาะตั้งแต่ปีกลายว่า วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้เลือกตั้งแน่นอน ลงเอยก็ขยับออกไปอีก 1 เดือน เป็น 24 มีนาคม ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสข่าวที่สะพัดมาตลอดตั้งแต่หลังปีใหม่

“ถือเสียว่า มาช้าดีกว่าไม่มาเลย ก็แล้วกัน”

ความชัดเจนมาปรากฏในวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมานี้เอง เมื่อมีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ในราชกิจจานุเบกษา ทั้งที่เดิมกำหนดเอาไว้ว่าจะเป็นวันที่ 2 มกราคม เท่ากับขยับออกมาถึง 21 วัน ต่อมาในช่วงเย็นวันเดียวกัน กกต.ก็จัดประชุมแล้วมีมติ ให้กำหนดวันที่ 24 มีนาคม เป็นวันเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป

เป็นอันประกาศการเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการและแน่ชัด

รวมทั้งกำหนดวันรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตในวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ พร้อมทั้งจะต้องยื่นรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองต่างๆ จะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเดียวกันนี้ด้วย

“ดังนั้น ต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะถือเป็นช่วงเวลาสำคัญอีกช่วงหนึ่งของศึกเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากเปิดตัวผู้สมัครในแต่ละสนามแล้ว จะต้องเปิดโฉมว่าที่นายกฯ ออกมาด้วย”

พรรคการเมืองที่เตรียมชื่อผู้เสนอเป็นนายกฯ เอาไว้ชัดเจน เห็นๆ กันอยู่แล้ว อย่างเช่น พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือพรรคภูมิใจไทย ที่จะเสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือพรรคอนาคตใหม่ ที่จะเสนอนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คงแจ้งรายชื่อได้เลยตั้งแต่วันเริ่มเปิดรับสมัคร

แต่พรรคใหญ่ๆ ที่เป็นคู่ชิงแชมป์ และมีเหตุผลความจำเป็นในการอุบไต๋ นั่นก็คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ

“อาจจะต้องอุบกันจนถึงวันสุดท้ายคือ 8 กุมภาพันธ์ นั่นเลยทีเดียว!?”

แม้จะรู้ๆ กันอยู่แล้วว่า พรรคพลังประชารัฐ ต้องเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องขบคิดอะไรบางประการ

ส่วนพรรคเพื่อไทย วันนี้ก็ค่อนข้างชัดว่า โอกาสสูงมากที่จะเสนอชื่อนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้แกร่งที่สุดในปฐพี เป็นเบอร์ 1 แล้วอาจจะมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นเบอร์ 2

แต่พรรคเพื่อไทยก็อาจจะมีการเตรียมทีเด็ดอะไรไว้บางอย่าง เกี่ยวกับรายชื่อผู้ที่จะเสนอให้เป็นนายกฯ

จึงมีแนวโน้มสูงว่า กว่าที่จะได้เห็นรายชื่อว่าที่นายกฯ ของ 2 พรรคคู่ชิงแชมป์หนนี้ คงต้องรอลุ้นกันถึงวันสุดท้ายของการรับสมัคร คือ 8 กุมภาพันธ์นั่นเอง

กรณีของพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีกแล้ว ว่าตั้งพรรคการเมืองนี้ขึ้นมาก็เพื่อจัดการนำ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้งให้ได้ โดยมี 2 หัวเรี่ยวหัวแรงคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ

เห็นได้จาก หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค คือรัฐมนตรีในทีมเศรษฐกิจ ขุนพลข้างกายของนายสมคิดทั้งสิ้น

นอกจากนี้ การดึงทีมนักการเมืองหน้าเก่า คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มาเป็นแกนหลัก ก็มาจากนายสมคิด

อีกหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการปั้นพรรคพลังประชารัฐ ย่อมเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีกลาโหม ที่มีกลไกในมือมากมาย มีกระสุนเพียบพร้อมที่สุด

“ทั้งหมดนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการให้ประยุทธ์อยู่ต่อ!”

แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เข้ามาสังกัดพรรค รอให้พรรคนี้มาเชิญอย่างเป็นทางการ แล้วนำชื่อไปใส่ในบัญชีว่าที่นายกฯ ถือว่ามีเหตุผลความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดดันจากพรรคการเมืองต่างๆ และจากผู้คนในสังคม

เพราะวันที่เปิดตัวว่ามีชื่อในบัญชีพรรคพลังประชารัฐแน่นอน วันนั้นเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นนายกฯ จะต้องกระหึ่มไปทั่ว

“จึงเชื่อได้เลย จะต้องดึงวันเปิดชื่อผู้เสนอเป็นนายกฯ ของพลังประชารัฐไปจนถึงนาทีสุดท้ายนั่นแหละ”

ส่วนพรรคเพื่อไทย แชมป์เก่า ที่ผลโพลทั้งเปิดเผยและในทางลับของทุกสำนัก และแม้แต่ของหน่วยข่าวกรองเองก็ยังยืนยันได้ว่า ยังมีโอกาสเป็นแชมป์ในการเลือกตั้งหนนี้อยู่สูง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคอีสานทั้งภาค ยังไม่มีพรรคการเมืองไหนสามารถเจาะได้

การเปิดโฉมว่าที่นายกฯ ของพรรคนี้ ก็จะมีผลสำคัญต่อคะแนนเลือกตั้งไม่น้อย

“มีการทดลองเปิดตัวนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ออกมาหยั่งกระแส ก็พบว่าได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้น”

แต่บทสรุปจะเป็นชัชชาติเป็นเบอร์ 1 ในรายชื่อผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ ของเพื่อไทยหรือไม่ คาดว่าก็คงจะอุบกันถึงนาทีสุดท้ายเช่นกัน โดยประการแรก ไม่ต้องการให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรค เนื่องจากยังมีสมาชิกเพื่อไทยบางส่วนที่เชียร์คุณหญิงสุดารัตน์อยู่

“เหตุผลอีกประการ มีรายงานข่าวทำนองว่า ยังมีการเปิดรอบุคคลสำคัญอีกรายหนึ่ง โดยอาจถึงขั้นจะเข้ามาเป็นผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของเพื่อไทยในอันดับ 1 เลยทีเดียว!?!”

นี่จึงทำให้การจัดบัญชีว่าที่นายกฯ ของเพื่อไทย ก็อาจจะต้องรอสรุปในนาทีสุดท้าย คือ 8 กุมภาพันธ์อีกเช่นกัน

แต่ในชั้นนี้ ถือว่าน่าจะวางตัวนายชัชชาติเป็นเบอร์ 1 เอาไว้ก่อน เพราะโดยชื่อชั้นเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งจากคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า ในวิสัยทัศน์การพัฒนา ความทันสมัย ความเป็นนักบริหารมืออาชีพ ประวัติไม่ด่างพร้อย

ขณะเดียวกัน หากดูยุทธศาสตร์การหาเสียงของฝ่ายพลังประชารัฐ ที่เน้นว่าถ้าเลือกประยุทธ์ ประเทศจะสงบเหมือน 4 ปีที่ผ่านมา ไม่มีปัญหาแบ่งสี ไม่มีม็อบ ไม่มีเสียงปืน เสียงระเบิด ถ้าไปเลือกเพื่อไทยก็จะกลับไปขัดแย้งแบบเก่าๆ ถือเป็นมุขหลักในการสร้างภาพให้คู่แข่งดูหวาดกลัว

“แต่เมื่อฝ่ายเพื่อไทยเปิดตัวชัชชาติออกมา มุขปลุกผีขัดแย้งสีอาจจะเริ่มทำอะไรไม่ได้ เพราะชัชชาติไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันกับความขัดแย้งในการเมืองยุคก่อนหน้านี้เลย”

หนักกว่านั้น นอกจากชัชชาติจะโชว์วิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศแล้ว ยังชูประเด็นสำคัญในช่วงโค้งสุดท้ายว่า นี่คือการเลือกตั้งที่จะตัดสินระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ โดยฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องได้ 375 เสียง เหนือกว่าเสียง ส.ว. 250 เสียง

รวมทั้งต้องไม่ให้พวกไม่เลื่อมใสประชาธิปไตยเอาการเลือกตั้งมาเป็นทางลัดเข้าสู่ระบบ แล้วทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังไปอีก

“มุขนี้ถือว่าส่งผลสะเทือนไม่น้อย”

เอาเป็นว่า กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง

ต้องจับตาวันเปิดโฉมว่าที่นายกฯ ของ 2 พรรคนี้ อันจะเป็นอีกจุดสำคัญในการบ่งชี้ชัยชนะก็ว่าได้!