ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มกราคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
รัฐประหาร คสช.ทำให้โลกมองไทยเป็นประเทศที่รัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนได้เสรีอย่างที่รู้กัน ทันทีที่มีข่าวว่าไทยเตรียมเนรเทศหญิงซาอุอายุ 18 แบบที่สังคมเห็นว่า “ส่งเธอไปตาย” ชื่อเสียงของประเทศในเวทีโลกก็ย่อยยับลงไปอีก และยิ่งหายนะขึ้นเมื่อรองนายกไทยไม่ให้เธอต่อเครื่องเพื่อลี้ภัยไปออสเตรเลียตามที่ต้องการ
เท่าที่ปรากฎเป็นข่าวทั่วไป Rahaf Mohammed หนีจากครอบครัวซาอุเพราะทนไม่ได้ที่ถูกพ่อและพี่ชายทำร้ายมาตลอดชีวิต ยิ่งกว่านั้นคือเธอประกาศไม่นับถือศาสนาในประเทศที่กษัตริย์ประกาศว่ากุรอ่านคือรัฐธรรมนูญและอิสลามคือศาสนาประจำชาติ ความผิดฐานละทิ้งศาสนาในสังคมอิสลามแบบซาอุจึงอาจมีโทษขั้นประหารชีวิตทันที
ในคำให้สัมภาษณ์ของราฮัฟในสื่อทั่วโลก เธอเคยถูกญาติจับขังครึ่งปีเพียงเพราะตัดผมทรงที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย ผลก็คือเธอพยายามฆ่าตัวตายตั้งแต่อายุ 16 โดยสื่อต่างประเทศบางสำนักอ้างว่าเธอเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอมั่นใจว่าการส่งกลับจะทำให้เธอติดคุกซาอุ และเมื่อพ้นคุกก็จะถูกครอบครัวฆ่าแน่นอน
ราฮัฟพูดกับสื่อฉบับหนึ่งว่าซาอุเหมือนคุกจนประชาชนตัดสินใจชีวิตตัวเองแทบไม่ได้ เพื่อนของเธอที่หนีไปออสเตรเลียมาก่อนนั้นให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ว่าเธอถูกครอบครัวขู่ฆ่าจริงๆ เพราะอยู่ในพื้นที่ซึ่งกดดันให้ครอบครัวที่ลูกหลานออกจากศาสนาอับอายจนคิดว่าการฆ่าคือวิธีกอบกู้ภาพลักษณ์ในชุมชน
ถึงจุดนี้ แม้คนทั้งโลกจะปกป้องหญิงซาอุด้วยแฮชแท๊ก saverahaf เพราะเห็นว่าเป็นวิธีแหกกรงขังที่ “เผด็จการไทย” จับเธอเป็นบรรณาการเผด็จการซาอุสำเร็จ ความล่มสลายของแผนนี้ก็เกิดจาก คสช.กลัวกระแสใน “โซเชียล” กว่าอะไรอื่น ไม่ใช่เพราะสำนึกว่าการส่งผู้ลี้ภัยไปตายนั้นผิดศีลธรรมและบรรทัดฐานระหว่างประเทศทุกกรณี
ทันทีที่กระแสข่าว คสช.จับหญิงซาอุส่งกลับคูเวตกระจายสู่สังคม คนจำนวนมากก็เชื่อมโยงเหตุการณ์นี้กับการที่คสช.จับชาวอุยกูร์กว่าร้อยส่งให้เผด็จการจีนในปี 2558 มาตรการที่น่าละอายวันนั้นทำให้โลกมองรัฐบาลไทยว่าสอพลอมหาอำนาจด้วยชีวิตมนุษย์จนบัดนี้ ไม่ว่าข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีจะต่างกันแค่ไหนก็ตาม
ด้วยความเชื่อว่า คสช.เตรียมฟื้นสัมพันธ์ซาอุโดยส่งคนไปตายเหมือนกรณีอุยกูร์ สื่อและเอ็นจีโอด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศก็ผลักดันผ่าน “โซเชียล” จนสหประชาชาติขัดขวางไม่ให้ คสช.จับผู้หญิงเอาใจซาอุสำเร็จ จากนั้นหญิงผู้ถูกกลั่นแกล้งให้เป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายก็เข้าสู่กระบวนการลี้ภัยในปัจจุบัน
นอกจากกระแสโลกเรื่องส่งคนไปตายจะบีบคั้นจน คสช.ไม่กล้าสอพลอซาอุตามที่สังคมระแวง คนในประเทศไทยเองก็ไม่พอใจข่าวเรื่องไทยปล่อยให้นักการฑูตซาอุยึดหนังสือเดินทางผู้หญิงคนนี้กลางสนามบินสุวรรณภูมิด้วย เพราะนั่นเท่ากับรัฐบาลไทยสยบยอมให้ประเทศอื่นใช้อำนาจรัฐเหนือดินแดนไทยโดยตรง
ด้วยความไม่พอใจที่ซาอุกระทำการขั้นละเมิดอธิปไตยของไทย คนจำนวนมากโกรธแค้นต่อไปว่า คสช.สมรู้ร่วมคิดให้ซาอุทำเหมือนไทยเป็นอาณานิคมจนสำเร็จ เพราะเจ้าหน้าที่ไทยใช้การไม่มีหนังสือเดินทางเป็นเหตุส่งตัวหญิงซาอุกลับไป แต่ไม่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยห้ามไม่ให้ซาอุทำแบบนี้เหนือดินแดนไทยแม้แต่นิดเดียว
ภายใต้ความสงสัยว่ารัฐบาลทหารปล่อยให้ประเทศอื่นแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในประเทศไทย การผลักดันให้หญิงซาอุกลับโดยอ้างว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ละเมิดกฎหมายไทยอีก เพราะการส่งใครกลับประเทศทันทีนั้นทำไม่ได้ ตำรวจทำได้แค่คุมผู้ต้องสงสัยไปดำเนินคดี ส่วนการวินิจฉัยเรื่องนี้ต้องผ่านศาลโดยตรง
ในเมื่อกฎหมายไม่เปิดทางให้ตำรวจส่งใครกลับประเทศทันที พฤติกรรมที่เจ้าหน้าที่เตรียมจับหญิงซาอุยัดขึ้นเครื่องไปคูเวตจึงอาจผิดกฎหมายแน่ๆ และต่อให้รัฐบาลไทยจะหาเรื่องจับผู้หญิงเป็นบรรณาการซาอุให้ได้โดยอ้างเรื่องผู้ร้ายข้ามแดน สังคมก็เห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีนี้ก็มีปัญหาทางกฎหมายด้วยเหมือนกัน
หากเป็นการส่งตัวตามกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลซาอุก็มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ศาลไทยเชื่อว่าบุคคลผู้นั้นกระทำความผิด และความผิดนั้นต้องผิดตามบทบัญญัติในกฎหมายไทยด้วย การส่งตัวกลับด้วยวิธีนี้จึงต้องใช้เวลาดำเนินคดีหลายปี ไม่ใช่ตั้งด่านจับตามข้อหาที่กลั่นแกล้งแล้วส่งกลับขึ้นเครื่องอย่างรัฐบาลนี้ทำ
อย่างไรก็ดี ต่อให้ซาอุทำให้ศาลไทยเชื่อว่าราฮัฟทำผิดกฎหมายซาอุและกฎหมายไทย การส่งเธอกลับซาอุก็ต้องเผชิญด่านของหลักการที่เป็นกฎหมายประเพณีระหว่างประเทศเรื่อง Non-Refoulement นั่นคือรัฐต้องไม่ส่งบุคคลไปดินแดนที่ได้รับอันตรายแก่ชีวิตและเสรีภาพเพราะเชื้อชาติ/ ศาสนา/ ความคิดทางการเมือง
เท่าที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมักอ้างว่า Non-Refoulement ไม่มีผลบังคับกับไทยที่ไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาอะไร แต่นานาชาติถือว่าหลักการนี้มีสถานะสูงกว่ากฎหมายธรรมดาจนเป็นกฎหมายประเพณีระหว่างประเทศโดยไม่ต้องมีบทบัญญัติเฉพาะไปแล้ว ข้ออ้างของไทยจึงถูกคนทำงานสิทธิมองว่าเป็นแค่การประจานตัวเองว่าเปิดทางให้นโยบายส่งคนไปตาย
ท่าทีของ คสช.เรื่องหญิงซาอุทำให้โลกมองไทยเป็นประเทศเผด็จการที่สอพลอต่างชาติโดยไม่คำนึงถึงหลักอำนาจอธิปไตย, หลักกฎหมายแห่งชาติ และหลักการตามประเพณีระหว่างประเทศที่ยึดถือกัน แต่ทำไม คสช.ถึงทำแบบนี้ถึงจุดที่โลกต่อต้านจนต้องถอย ไม่อย่างนั้นที่ยื่นในเวทีโลกซึ่งมีน้อยนิดจะไม่เหลือเลย?
ประชาคมโลกรวมพลังเพื่อพาฮารัฟออกจากกรงขังของรัฐบาลไทยเพราะกลัวว่าเธอจะไม่อยากถูกส่งไปตาย แรงขับที่ทำให้โลกปกป้องเด็กอายุ 18 จึงได้แก่ความรับรู้ว่าผู้หญิงซาอุเผชิญความรุนแรงจากวัฒนธรรม, การตีความคำสอนทางศาสนา, ครอบครัว, กฎหมาย และการปกครองแบบราชวงศ์ที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ
แน่นอนว่าคงมีแต่ คสช.ที่ตอบได้ว่าผลประโยชน์อะไรที่ดลใจให้ขัดขวางเส้นทางสู่อิสรภาพของผู้หญิงถึงขั้นโลกมองว่าใช้เธอสังเวยอำนาจรัฐในดินแดนห่างไกล แต่ที่แน่ๆ คือ คสช.เขลาจนไม่เข้าใจความไม่พอใจที่โลกมีต่อการละเมิดสิทธิผู้หญิงเรื่องการฆ่าโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีพ่อแม่และครอบครัว (Honor Killing)
เป็นที่รับรู้ว่าวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในทุกศาสนาและทุกสังคมเปิดทางให้ผู้ชายประทุษร้ายผู้หญิงในนามของการพิทักษ์เกียรติยศแห่งความเป็นชาย นางสีดาจึงต้องลุยไฟเพื่อให้พระรามเชื่อว่าไม่ได้เป็นชู้กับพญายักษ์ ขณะที่ข่าวอาชญากรรมทุกวันนี้ก็เต็มไปด้วยเรื่องพ่อตีลูกหรือผัวตีเมียเพราะไม่ทำตามที่ต้องการ
Honor Killing คือปรากฎการณ์ที่ผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถูกฆ่าโดยครอบครัวตัวเองเพราะเห็นว่ากระทำการบางอย่างให้อับอาย ปัจจัยพื้นฐานของการฆ่าแบบนี้จึงอยู่ที่การปลูกฝังให้ความเชื่อบางอย่างอยู่เหนือชีวิตคนในครอบครัวทั้งหมด สังคมที่สุดโต่งทางศาสนาจึงง่ายที่จะฆ่าผู้หญิงเพื่อเกียรติยศของครอบครัว
การฆ่าไม่ใช่ธรรมชาติของศาสนาอิสลามหรือสังคมมุสลิม แต่ระบบชายเป็นใหญ่ในวัฒนธรรมเผ่าแบบตะวันออกกลางเปิดทางให้กลุ่มสุดโต่งใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างฆ่าผู้หญิงด้วยวิธีนี้มากกว่าสังคมอื่น สังคมที่คลั่งศาสนาจึงมีครอบครัวที่โหนศาสนาไปฆ่าผู้หญิงที่ไม่ทำตามระเบียบของผู้ชายสูงจนน่าตกใจ
ในกรณีของราฮีฟผู้ที่โลกมองว่า คสช.จะส่งเธอกลับบ้านไปตาย การหนีเป็นพฤติกรรมแบบเดียวกับที่ผู้หญิงซาอุไม่น้อยเคยทำโดยมีออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์เป็นจุดหมายมาก่อน เหตุผลคือผู้ชายในสังคมซาอุเป็นใหญ่จนผู้หญิงขับรถหรือเดินทางโดยปราศจากผู้ชายไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ ผู้หญิงคือทรัพย์สินของผู้ชายตลอดเวลา
สิ่งที่รัฐบาลทหารของไทยไม่รู้จนทำนโยบายเซ่อๆ ซ่าๆ ก็คือราฮีฟดิ้นรนออกจากครอบครัวซาอุเพราะกลัวถูกฆ่า ส่วนความพยายามลี้ภัยของเธอก็คือการต่อสู้ของผู้หญิงอายุ 18 เพื่อปกป้องชีวิตตัวเองจากสังคมที่สุดโต่งจนเกิด Honor Killing สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในปัจจุบัน
จริงอยู่ว่าการที่ประเทศเล็กอย่างไทยถูกประเทศใหญ่กว่ากดดันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความบ้องตื้นของ คสช.คือการทำให้คนไทยและโลกเห็นว่าสนองความต้องการซาอุจนไทยดูเหมือนเป็นเมืองประเทศราชไปหมด
คนไทยโกรธรัฐบาลเพราะไม่ปกป้องอำนาจอธิปไตยในฐานะรัฐเอกราชในเรื่องนี้ ส่วนนานาชาติก็ขำที่รัฐบาลนี้สอพลอประเทศที่เพิ่งใช้สถานกงสุลฆ่าพลเมืองตัวเองอย่างปราศจากยางอาย
ชัยชนะของประชาคมโลกในการพาหญิงซาอุแหกสภาพราวกรงขังของรัฐบาลไทยเป็นชัยชนะของกระแสสิทธิมนุษยชนสากลเหนือเผด็จการโลกที่สามที่น่าภาคภูมิใจ แต่สำหรับคนไทยแล้วเรื่องนี้น่าเศร้า เพราะเป็นอีกครั้งที่อำนาจรัฐเห็นแก่ความยอมรับส่วนตนจนไม่คำนึงถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของบ้านเมือง
ไม่ว่าจะมองในแง่ไหน ความสิ้นไร้ไม้ตอกของประเทศอย่างที่เป็นมาหลังปี 2557 คือเหตุแห่งความถอดถอยของไทยในเวทีโลกจนปัจจุบัน