วิเคราะห์ : จับสัญญาณ ‘มิตรภาพ’ จากบ้านสี่เสา ถอดรหัสสัญญาณสงบศึก? ‘ป๋าเปรม’ ส่งซิกการเมือง กับปีใหม่ไฉไลของ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’

รายงานพิเศษ จับสัญญาณ ‘มิตรภาพ’ จากบ้านสี่เสา ถอดรหัสสัญญาณสงบศึก? ‘ป๋าเปรม’ ส่งซิกการเมือง กับปีใหม่ไฉไลของ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ และบทบาท ‘นินจาบิ๊กแดง’

แม้ผลสรุปคดีนาฬิกาหรูของ ป.ป.ช. จะถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่สำหรับบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่ง คสช. ที่รอดคดีแล้ว ถือว่าเป็นอีก “ข่าวดี” ที่ทำให้บรรดาน้องๆ ในกองทัพ และตำรวจ รวมทั้ง ผบ.เหล่าทัพ ได้แสดงความยินดีที่มรสุมผ่านไปอีกลูก ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

หลังจากที่ พล.อ.ประวิตรมี “ข่าวดี” ก่อนหน้านี้มาแล้ว กับคำชมจากบุคคลอันเป็นที่เคารพ ต่อสไตล์การทำงานและบุคลิกส่วนตัวของ พล.อ.ประวิตร “ประเทศเราต้องมีคนอย่างนี้”

ด้วยเพราะ พล.อ.ประวิตรเป็นนายทหารยุคเก่า ที่พูดจาโผงผางและออกแนวนักเลง จนทำให้เป็นนายทหารที่เปี่ยมบารมี

ไม่แค่นั้น พล.อ.ประวิตรยังได้ความเมตตาจากป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่เมื่อพบหน้าครั้งใดก็จะยิ้มแย้มทักทายเสมอ

โดยเฉพาะเมื่อวันที่ พล.อ.ประวิตรร่วมคณะบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. และ ครม.ทหาร พร้อม ผบ.เหล่าทัพ เข้าอวยพรและขอพรปีใหม่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ พล.อ.เปรมก็ไถ่ถามเรื่องสุขภาพ

“เป็นไงบ้าง แข็งแรงดีมั้ย ไหวมั้ยป้อม” พล.อ.เปรมทักทายพร้อมรอยยิ้ม

ก่อนปล่อยมุขแซว พล.อ.ประวิตรว่า “นับอายุผิดหรือเปล่า” หลังจากที่ป๋าถามว่าอายุเท่าไหร่แล้ว ได้รับคำตอบว่า 73 ปี

ที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรแฮปปี้อย่างมาก “ป๋าท่านทักทาย ถามผมตลอดว่า เป็นไงบ้าง ไหวมั้ย”

การปิดฉากคดีนาฬิกาหรูของ ป.ป.ช. เมื่อ 27 ธันวาคม 2561 นั้น ถูกวิจารณ์ด้วยว่า เลือกจังหวะเวลาใกล้ปีใหม่ ที่ประชาชนมักไม่สนใจข่าวสาร เพราะเป็นช่วงการเฉลิมฉลอง และถูกมองว่า ป.ป.ช. ได้ฟอกขาวให้ พล.อ.ประวิตร แล้ว หลังจากที่พิจารณามา 1 ปี

“ผมไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง แทรกแซง ป.ป.ช.เขาเลย ผมชี้แจงตามข้อเท็จจริงทั้งนั้น ความจริงก็คือความจริง ในเมื่อนาฬิกาไม่ใช่ของผม แล้วผมจะไปชี้แจงในบัญชีทรัพย์สินว่าเป็นของผมได้ยังไง เพราะปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนตั้งแต่ชั้นประถม สมัยเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เขาให้ผมยืมมาใส่ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเขาซื้อมาจากไหน หรือซื้อต่อมาจากใครบ้าง” พล.อ.ประวิตรกล่าว

จากนี้ พล.อ.ประวิตรก็เดินหน้าในการเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยกรุยทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ น้องรักกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง

แม้ พล.อ.ประวิตรจะปฏิเสธว่า ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็ถูกพาดพิงเสมอๆ ว่ามีนายทหาร “เด็กบิ๊กป้อม” หลายคนเข้าไปช่วยงานพรรคพลังประชารัฐ

แถมทั้งเป้าหมายของ พล.อ.ประวิตรก็คือ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกสมัย เพื่อสานต่องานให้จบ

 

ท่ามกลางการถอดรหัสคำพูดที่ พล.อ.เปรมพูดกับ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อครั้งที่เข้าอวยพรปีใหม่นั้น เป็นการส่งสัญญาณใดหรือไม่

โดยเฉพาะการแนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ยุทธวิธี “เห็นต่างอย่างเป็นมิตร”

มุมหนึ่ง ราวกับ พล.อ.เปรมเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหลังการเลือกตั้ง จึงเอ่ยคำว่า “ฝ่ายรัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้าน” เพราะในยุครัฐบาล คสช.ตอนนี้ไม่มีฝ่ายค้าน

“ถ้านักการเมืองที่เรียกว่าฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน เห็นแก่ความเป็นมิตร ทุกอย่างก็จะราบรื่น และไปได้สวยงาม ต้องพูดว่า เห็นต่างกันด้วยความเป็นมิตร จะดีมาก เพราะทุกคนเป็นมิตรกัน และเห็นต่างกันแค่นั้น” พล.อ.เปรมระบุ

แต่ในอีกมุมหนึ่ง พล.อ.เปรมก็จี้ไปที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ เสมือนเป็นการสะกิดจุดอ่อนในปัจจุบัน เพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ในอนาคต

“ขอให้นายกฯ เห็นว่า ฝ่ายค้านเห็นต่าง ก็เห็นต่างอย่างมิตร แต่อย่าเห็นต่างอย่างเป็นศัตรูกัน ซึ่งไม่มีประโยชน์ ขอให้คิดว่าความเห็นต่างต้องมี แต่มีอย่างมิตร ขอให้นายกฯ ช่วยทำตรงนี้ อย่าเห็นต่างกับฝ่ายค้าน แต่ต้องเห็นต่างอย่างมิตร ผมอยากให้นายกฯ ทำตัวอย่างว่า ผมเห็นต่างกับคุณ แต่ผมก็เป็นเพื่อนกับคุณ ก็จะทำเหตุการณ์ต่างๆ ไปได้ราบรื่น ขอฝากนายกฯ ไว้ อาจจะต้องจำไปใช้…”

พล.อ.เปรมกล่าว

กล่าวได้ว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.เปรมพูดชัดๆ แนะนำให้นักการเมือง ไม่ว่าฝ่ายใด ให้เป็นมิตรกัน อย่าเป็นศัตรูกัน แม้ความเห็นจะต่างกัน

แถมเป็นคำพูดหลังจากที่ พล.อ.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิท เปิดเผยก่อนหน้านั้นว่า พล.อ.เปรมเป็นห่วงบ้านเมือง ว่าจะเป็นยังไงต่อไป โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้ง

คำพูดของ พล.อ.เปรมจึงถูกตีความได้ด้วยว่า ต้องการให้นักการเมืองทุกฝ่ายเป็นมิตรกัน อย่าเป็นศัตรูกัน แม้ความเห็นต่าง

นี่จึงเป็นสัญญาณสงบศึกจากบ้านสี่เสาฯ ที่ พล.อ.เปรมตั้งใจที่จะสื่อสารกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ ครม. รวมทั้ง ผบ.เหล่าทัพที่ก็เป็น คสช.

หรืออีกนัยหนึ่ง อาจเรียกว่า เป็นสัญญาณมิตรภาพ ที่ออกมาจากบ้านสี่เสาฯ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น

ท่ามกลางกระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หลังการเลือกตั้ง ที่รวมนักการเมืองทุกขั้ว ทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน เพื่อประคับประคองบ้านเมืองให้เข้าที่ หลังการสิ้นสลายของรัฐบาลและ คสช.

คำว่า เห็นต่างอย่างเป็นมิตร จึงกลายเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในระดับประเทศ จากบุคคลระดับประเทศ ที่เหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเข้าสู่การเลือกตั้ง และการเปลี่ยนผ่านประเทศ รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร เพื่อความสงบสุข เพื่อเตรียมพร้อมพระราชพิธีสำคัญ ในช่วงกลางปี 2562

 

ท่ามกลางการจับตามองว่า สถานการณ์บ้านเมืองจากนี้ไปสู่การเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง จะสงบเรียบร้อยหรือไม่ หลังจากที่เกิดเหตุระเบิดที่หาดสมิหลา จ.สงขลา และอีกหลายจุดนั้น จะลามเข้ามาในกรุงเทพฯ หรือไม่

เพราะแม้บางทฤษฎีจะให้น้ำหนักว่า เป็นการแสดงศักยภาพของกลุ่มก่อความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะกองกำลังทหารของ BRN ที่กำลังต่อรองบนโต๊ะเจรจากับคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ก็ตาม

แต่ระเบิดนี้เกิดขึ้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่ พล.อ.ประวิตรและ ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. มามอบโฉนดที่ดินคืนให้ชาวบ้านเกือบ 2 พันรายที่ จ.สงขลา

พล.อ.ประวิตร รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง จึงให้น้ำหนักไปในเรื่องการเมือง แต่ยืมมือกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้มาก่อเหตุ ที่ดูเหมือนจะเป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ฝ่ายความมั่นคงใช้อ้างทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดในภาคใต้ตอนบน

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรมีคำสั่งเตือนไปยังตำรวจ ทหารทั่วประเทศ ให้ระมัดระวังช่วงปีใหม่ ว่าอาจมีการสร้างสถานการณ์ หรือก่อเหตุวินาศกรรม ไม่ว่าจะโดยกลุ่มการเมือง กลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ หรือกลุ่มก่อการร้ายสากล ก็ตาม

แต่เหตุระเบิดส่งท้ายปีเก่า ก็ถูกมองว่า จะเป็น wake up call ว่าอาจจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกหรือไม่ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ขณะที่ประเทศเตรียมมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง ในอีกไม่ถึง 2 เดือนข้างหน้านี้

จนถูกจับตามองว่า ทฤษฎีการสร้างสถานการณ์ จะถูกนำกลับมาใช้ในสถานการณ์ทางการเมืองเช่นนี้อีกหรือไม่

ทําให้บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ในฐานะที่เป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ของ คสช. ต้องแท็กทีมกับบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เพื่อนซี้ ตท.20 ในการคลี่คลายคดีและขยายผล รวมทั้งป้องกันเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ

ไม่ใช่แค่งานการเมืองเท่านั้นที่ พล.อ.อภิรัชต์ต้องกรำศึกหนัก เพราะเป็นเป้าหมายใหญ่สุดในบรรดา ผบ.เหล่าทัพเท่านั้น

แต่ในส่วนงานของกองทัพบก ในฐานะ ผบ.ทบ.นั้นก็หนัก โดยที่ พล.อ.อภิรัชต์กำลังเป็นที่โจษจันของกำลังพลอย่างหนัก และได้รับฉายาว่าเป็น “นินจา”

ทั้งการหายออกไปจาก บก.ทบ.แบบไม่ให้แจ้ง “วิทยุสื่อสาร” หรือแจ้งใครก่อน แถมออกไปแบบไม่มีรถนำ นั่งรถดุ่ยๆ ไปคนเดียว มีแค่พลขับ หรือบางครั้งมีนายทหารคนสนิท

แต่ที่ฮือฮาที่สุดคือ การปฏิบัติการออกตรวจหน่วยโดยไม่บอกกล่าว ผบ.หน่วยล่วงหน้า

จากที่เคยสำรวจตรวจพื้นที่ ตรวจหน่วยภายในกองบัญชาการกองทัพบกด้วยตนเอง แบบไม่บอกล่วงหน้า ด้วยการเดินลงจากรถทันทีที่มาถึง บก.ทบ. แล้วเดินลุยเดี่ยวไปตรวจทุกตึก ทุกซอกมุม จนมีการสังคายนา ปรับภูมิทัศน์ จัดระเบียบใหม่กันยกใหญ่ใน บก.ทบ.มาแล้ว

ระยะหลังๆ นี้ พล.อ.อภิรัชต์ออกตรวจหน่วยนอก ทบ. ทั้งในกรุงเทพฯ และชานเมืองแบบเงียบๆ

ด้วยการนั่งรถ Range Rover โดยไม่มีรถนำ ให้เลี้ยวเข้าไปในหน่วยทหาร ตระเวนตรวจหน่วยโดยรอบ ทั้งอาคารสถานที่ คลัง กองร้อย กองพัน กรม และภูมิทัศน์ในหน่วย ก่อนที่จะเดินลุยเดี่ยวโดยไม่ให้นายทหารคนสนิทเดินตาม เพราะไม่อยากให้เป็นที่สังเกต

พล.อ.อภิรัชต์พุ่งตรงไปถึงกองร้อย ที่อยู่ที่หลับที่นอนทหาร โดยเฉพาะโรงเลี้ยงทหาร เพื่อดูคุณภาพชีวิตทหารเกณฑ์ แบบไม่ให้ ผบ.หน่วยได้มี “ผักชีโรยหน้า”

จนทำให้ ผบ.หน่วยหลายคนถูกเรียกพบตักเตือนมาแล้ว บางหน่วยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ จนกลายเป็นที่เข็ดขยาดของ ผบ.หน่วยในทุกระดับ ที่ต้องดูแลหน่วยให้ดีทุกเวลา เพราะไม่รู้ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะโผล่มาตรวจแบบไม่บอกล่วงหน้าเมื่อใด

ภาพพจน์และชื่อเสียงของ พล.อ.อภิรัชต์จึงไม่ใช่แค่เนี้ยบ เป๊ะ ในเรื่องการแต่งกาย หรือระเบียบวินัยเท่านั้น แต่ยังเน้นความเป็นอยู่ และอาคารสถานที่ สภาพของหน่วยด้วย

โดยเฉพาะใน บก.ทบ.ที่นั่งทำงานของ พล.อ.อภิรัชต์ นั้น ถือว่าเป็นบ้านอีกหลัง หรือครอบครัวกองทัพบก ที่ต้องดูแล จนถึงขั้นที่เปิดหอประชุมกิตติขจร ภายใน บก.ทบ. เพื่อพบปะกำลังพล ตั้งแต่พลเอก จนถึงลูกจ้าง เพื่อทำความคุ้นเคย และเล่าความตั้งใจในการทำงานในฐานะ ผบ.ทบ.ในปีแรก และปีที่ 2 และเปิดให้ซักถามได้ทุกเรื่อง

รวมทั้งการปรับปรุงภายใน บก.ทบ.ให้ดีขึ้น ทั้งการมีเซเว่น อีเลฟเว่น ที่ขายราคาถูก และสินค้าหลากหลายกว่าร้านค้าสวัสดิการที่เคยมี และมีร้านกาแฟอินทนิล เพื่อให้กำลังพลที่มารอประชุม หรือนัดหมาย มีที่นั่งที่ดูดีและมีกาแฟรสดีในราคาที่ถูกกว่าดื่ม มีการทำห้องสมุดที่ครบวงจร

รวมไปถึงการสอดส่องการทำงานของกำลังพลทุกคนในกองทัพ หรือแม้แต่ใน บก.ทบ. ที่เมื่อรู้ว่า ทหารคนไหน ลูกจ้างคนใด ทำความดี ก็จะส่งขนมและของขวัญมาให้ทันที

บางราย พล.อ.อภิรัชต์ได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดของ บก.ทบ.ในการทำงานต่างๆ จนเกิดความชื่นชม ก็จะให้นายทหารหน้าห้อง ส่งของขวัญลงมาให้ทันที เพื่อเป็นกำลังใจ

นี่คือสไตล์การดูแล “ครอบครัวกองทัพบก” ของ พล.อ.อภิรัชต์ในฐานะ ทบ.1 ที่ก็ไม่อาจละเลย หรือไปให้น้ำหนักงานในหน้าที่อื่นมากเสียจนลืม หน้าที่ของ ผบ.ทบ.

ในขณะที่หมวกอีกหลายใบของ พล.อ.อภิรัชต์ กับความรับผิดชอบ และงานที่รออยู่ โดยเฉพาะงานการเมือง และการดูแลความสงบเรียบร้อยนั้น หนักหนาเอาการ

ท่ามกลางการถูกจับตามองในทุกฝีก้าว ทั้งจากคนภายนอกกองทัพ ในกองทัพเอง และกำลังพลใน ทบ.เอง

ทั้งก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง ในวันเลือกตั้ง และโดยเฉพาะหลังเลือกตั้ง…