อนุสรณ์ ติปยานนท์ : เพลงประจักษ์รัก

In Love We Trust-2

การประจักษ์ในการเชื่อมโยงของบทเพลงรักของเธอเกิดขึ้นในคืนวันหนึ่ง

เธอนอนไม่หลับ จ้องมองดวงจันทร์รอบแล้วรอบเล่าผ่านบานหน้าต่างในห้องนอน

มันเป็นคืนที่จันทร์ไม่งดงามหากแต่มีเพียงแสงสว่างเท่านั้น เธอจ้องมองดวงจันทร์สลับกับเงาจันทร์ที่ปรากฏในรูปของสิ่งต่างๆ บนท้องถนน

จนชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมา เขาเดินเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อชั่วครู่ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด

สิ่งที่น่าสนใจคือ มีหญิงสาวผู้หนึ่งหยุดยืนอ้อยอิ่งอยู่หน้าร้าน เธอจุดบุหรี่สูบ รอให้บุหรี่หมดตัวก่อนจะเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแห่งนั้น

เงาดำของชายหนุ่มที่เกิดจากแสงไฟของร้านสะดวกซื้อซ้อนทับกับเงาของหญิงสาวที่เกิดจากดวงจันทร์

เป็นการซ้อนทับเพียงชั่วครู่ เพียงชั่วครู่อย่างแท้จริง

กว่าจะรู้ตัว เธอก็เริ่มต้นการขับร้องเพลงอีกครั้ง ครานี้เธอขับร้องเพลง Lili Marleen ในภาษาเยอรมัน บทเพลงของชายหนุ่มผู้รอคอยอย่างอดทน ผู้ปรารถนาจะได้พบแม้เพียงเงาของสาวคนรักก็อิ่มใจแล้ว

Vor der Kaserne

Vor dem grossen Tor

Steht “ne Laterne

Und steht sie noch davor

Da wollen wir uns wieder seh”n

Bei der Laterne woll”n wir steh”n

Wie einst, Lili Marleen

Wie einst, Lili Marleen

Uns”re beiden Schatten

Sah”n wie einer aus

Dass wir lieb uns hatten

Dass sah man gleich daraus

Und alle Leute soll”n es seh”n

Wenn wir bei der Laterne steh”n

Wie einst, Lili Marleen

wie einst, Lili Marleen…

ด้วยบทเพลงนี้ ทำให้เธอตระหนักและประจักษ์ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังบทเพลงทั้งหลายของเธอไม่ใช่เพียงความรัก

แต่เป็นการรอคอยซึ่งความรักนั่นเอง

การรอคอยซึ่งความรักไม่ต่างจากตัวโน้ตที่สั่งสมอยู่ในตัวของเธอ วันละเล็ก วันละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย จนในที่สุดเมื่อการสั่งสมนั้นมากพอ บทเพลงเหล่านั้นจะบรรเลงออกมาโดยฉับพลัน

เปรียบดังการไหลหลั่งของน้ำจากที่สูงเมื่อน้ำนั้นมีปริมาณมากพอ

 

เธอเดินกลับมาที่เตียงนอนของเธอ ล้มตัวลงนอน เธอรู้สาเหตุของบทเพลงแล้ว แต่เธอต้องการจะรู้บ่อเกิดและที่มาของมัน เธอค้นลึกลงไปในความทรงจำ เธอค้นลึกไปจนพบเป็นการรอคอยที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเธอ เป็นการรอคอยครั้งนั้นเป็นแน่ที่ผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้บังเกิดขึ้น

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อกึ่งศตวรรษก่อน บ้านเมืองไม่ใช่แบบนี้ เธอเองก็ไม่ใช่คนเช่นนี้ ในเมืองเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยชาวต่างชาติที่มาสู่การสงครามกับเพื่อนบ้าน

เธอเองเป็นสาวน้อยแรกรุ่นที่เพิ่งรู้จักความรัก

เสียงเครื่องบินบินผ่านหัวของเธอแทบทุกเวลา ยามเช้า ยามเที่ยงและยามเย็น

เงินตราที่ใช้ในท้องตลาดมีทั้งเงินบาทและเงินดอลลาร์

เธอไม่เคยเห็นเงินดอลลาร์มาก่อน ครั้งแรกที่เธอจับธนบัตรสีเขียวนั่นเธอรู้สึกแปลกประหลาด นี่เป็นสิ่งแปลกหน้าแรกที่เข้ามาในชีวิตของเธอ

ก่อนที่สิ่งแปลกหน้าต่อไปจะปรากฏขึ้นอันได้แก่คนรักของเธอ

คนรักของเธอมาถึงเมืองนี้ในฐานะล่ามของชาวต่างชาติ

ชายหนุ่มผิวขาวกว่าคนท้องถิ่น พูดภาษากลางชัดเจนและไม่คุ้นชินกับอาหารดิบ เธอพบเขาในเช้าวันหนึ่งขณะที่เธอถีบจักรยานไปจ่ายตลาด

แม่น้ำมูนไหลเอื่อยเฉื่อย เธอจอดรถดูฝูงปลาฝูงหนึ่งในขณะที่เขาขับรถจี๊ปสีเทาผ่านมา

เขาจอดรถในทันที เธอดูฝูงปลา เขาถ่ายรูปเธอ

เขายิ้มให้เธออย่างเขินอายหลังพบว่าเธอมีท่าทีไม่พอใจ

ไม่ใช่การกลัวว่าการถ่ายภาพจะทำให้อายุสั้นเหมือนคนเก่าคนแก่

แต่เป็นความหวาดกลัวว่าภาพถ่ายของเขาจะทำให้เธอมีหน้าตาผิดแผกไป

เธอเกลียดทุกอย่างที่เป็นภาพถ่ายของเธอ ทั้งภาพถ่ายสมัยเป็นเด็ก สมัยเป็นนักเรียน จนชั้นภาพถ่ายที่ติดอยู่ในบัตรประชาชน

เขาสัญญากับเธอว่าภาพถ่ายของเธอจะสมจริงที่สุด และเพื่อยืนยันในสิ่งนั้น เขาจะนำภาพถ่ายมาให้เธอในอีกสองวันต่อมา

“ที่นี่ ที่ถนนริมน้ำมูนนี้ ผมจะมาพบคุณ”

 

คืนนั้นเองที่เธอเริ่มครวญเพลงเป็นครั้งแรก เธอครวญเพลง “เสียงดุเหว่าแว่ว” ด้วยนึกถึงเสียงร้องของดุเหว่าในเช้าวันนั้น แม้เธอจะไม่ได้พบกับเขาเมื่อตอนรุ่งสาง แต่เสียงร้องของดุเหว่าในเช้าวันนั้นเป็นดังสัญญาณว่าเธอจะได้พบกับเขาอีกในวันต่อๆ ไป

เสียงดุเหว่าแว่วมาเหมือนเตือนให้

สอง เรา ผวา จาก กัน

ค่อน คืน ตื่น ฝัน เราเกี่ยวแขนกัน

เที่ยวในแดนฟ้า พบวิมานเทวา

ผ่านดาราน้อยใหญ่ปราสาทสีทองงามผ่องอำไพ

โอ้เพลินใจในแดนสวรรค์

กอดกัน กระซิบกระแซะกัน

ชวนชมนั่นดาว ระยิบระยับตา

เพลินอยู่จนเสียงดุเหว่าแว่วมา

เป็นสัญญาให้เราจากกัน…

เขามาพบเธอตามสัญญา ในเช้าวันนัดหมาย เขามาพร้อมกับภาพถ่ายขนาดใหญ่ของเธอ ใบหน้าของเธอในภาพถ่ายเป็นใบหน้าที่งดงามจนเธอรู้สึกว่านั่นอาจเป็นบุคคลอื่น

แต่เขายืนยันว่าเป็นภาพของเธอโดยแท้จริง

“ผมถ่ายความงามตามที่ตาเห็น” เขากล่าว เธอเชื่อเขา

เธอรับภาพถ่ายใบนั้นจากเขา เดินจูงจักรยานไปตลาด ทั้งคู่สนทนากันตลอดทาง เธอกลับจากตลาด พาเขากลับมาที่รถจี๊ปสีเทา

“ผมเป็นล่ามทหาร เพิ่งมาถึงเมืองนี้ในวันแรกที่เจอคุณ และทำให้เมืองนี้จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป”

เพลงต่อมาเธอร้องมันในคืนนั้นคือเพลง เสน่หา เธอไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอรู้แต่เพียงว่าทุกครั้งที่พบเขา เธอไม่อยากจากเขา และเขาไม่อยากจากเธอ วันเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันช่างสั้นแทบทุกครั้งไป

ความรักเอย

เจ้าลอยลมมาหรือไร

มาดลจิต มาดลใจ เสน่หา

รักนี้จริงจากใจหรือเปล่า

หรือเย้า เราให้เฝ้าร่ำหา

หรือแกล้งเพียงแต่แลตา

ยั่วอุรา ให้หลง ลำพอง…

สามเดือนนับจากนั้น เธอจึงแน่ใจว่าความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่สิ่งยั่วเย้า ไม่ใช่สิ่งลวงตา เขามาพบพ่อแม่ของเธอ สู่ขอเธอ กำหนดวันแต่งงาน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น

เธอฝันถึงการนอนเคียงข้างเขา

เธอฝันถึงการสร้างครอบครัวกับเขา

เธอฝันถึงการมีลูกน้อยกับเขา อีกไม่นานทุกความฝันจะเป็นจริง

เขาบอกเธอว่าเขาจะลาออกจากงานล่าม หาที่ดินเพิ่มจากที่ครอบครัวเธอมี ปลูกบ้านหลังน้อย ดอกไม้สารพัดสี สัตว์เลี้ยงน่ารักทั้งหมาและแมว

“ผมเหลือภาระอีกไม่มาก” เขาบอกเช่นนั้น แต่แล้วอีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ ก่อนพิธีวิวาห์ เขาถูกส่งตัวไปทำงานด่วนยังประเทศเพื่อนบ้าน

“ผมจะรีบไปและกลับ งานติดตั้งสถานีวิทยุย่อย ไม่มีอะไรมาก เราจะอยู่ด้วยกันในวันงาน”

แต่เขาไม่เคยกลับมา

 

เครื่องบินเล็กที่เขาโดยสาร ตกลงที่ทางเหนือของประเทศเพื่อนบ้าน

สาเหตุของอุบัติเหตุมีเพียงแต่ข่าวคราวและข่าวลือ บ้างก็ว่าเป็นเพราะอาวุธจากศัตรู

บ้างก็ว่าเป็นเพราะความไม่ชำนาญในเส้นทางการบินของนักบิน

แต่ไม่ว่าความเห็นจะเป็นเช่นไร ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวคือเขาจากโลกนี้ไปแล้ว

เธอไปรับร่างของเขา ร่วมงานไว้อาลัย เผาร่างของเขาจนเป็นเถ้าถ่าน

ในระหว่างงานไม่มีน้ำตาแม้เพียงสักหยดจากเธอ

ในระหว่างงานเธอไม่พูดอะไรออกมาเลย จนกาลเวลาผ่านไปหลายเดือน หลายปี เธอหยิบรูปภาพที่ถูกถ่ายโดยเขาขึ้นดู เป็นการหยิบสิ่งของที่เธอทำติดตัวมาสู่สถานสงเคราะห์เช่นนี้ ในวัยชรา

เธอไม่แน่ใจว่าเธอจะยังขับร้องสิ่งใดออกมาได้

แต่แล้วเมื่อภาพถ่ายใบนั้นอยู่ในมือของเธออีกครั้ง

เธอก็เริ่มต้นครวญเพลง เพลงอาลัยรัก เธอร้องมันรอบแล้วรอบเล่า เธอเริ่มต้นร้องเพลงนับแต่วันนั้นมา

ฉันรักเธอ

รักเธอด้วยความไหวหวั่น

ว่าสักวันฉันคงถูกทอดทิ้ง

มินานเท่าไหร่

แล้วเธอก็ไป

จากฉันจริงจริง

เธอทอดทิ้ง

ให้อาลัยอยู่กับความรัก

แม้มีปีกโผบิน

ได้เหมือนนก

อกจะต้องธนูเจ็บปวดนัก

ฉันจะบิน

มาตายตรงหน้าตัก

ให้ยอดรัก

เช็ดเลือดและน้ำตา