นงนุช สิงหเดชะ/ อาการโวยวายจาก ‘เพื่อไทย’ สะท้อนความหวั่นไหวศึกเลือกตั้ง

บทความพิเศษ / นงนุช สิงหเดชะ

อาการโวยวายจาก ‘เพื่อไทย’

สะท้อนความหวั่นไหวศึกเลือกตั้ง

 

ปรากฏการณ์อดีต ส.ส.ย้ายพรรค ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนครบกำหนดเส้นตาย (26 พฤศจิกายน) ถือว่าน่าประหลาดใจค่อนข้างมาก

โดยเฉพาะเมื่ออดีต ส.ส. และสมาชิกที่เคยสังกัดพรรคภายใต้ยี่ห้อ “ทักษิณ ชินวัตร” หลายสิบคนยกทัพเข้ามาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อันเป็นพรรคที่รับรู้กันโดยปริยายว่ามีเป้าหมายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ลำพังอดีตคนใกล้ชิดทักษิณ อย่างนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หรือที่รู้จักในนามกลุ่มสามมิตรนั้น ไม่เท่าไหร่ เพราะประกาศตัวให้สาธารณะรับรู้แต่เนิ่นๆ ว่า จะย้ายมาอยู่กับ พปชร.

แต่ที่สร้างความประหลาดใจแบบตกตะลึงนาทีสุดท้ายก็คือ กรณีที่นายเดชณัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ลูกชายนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งปัจจุบันถูกจำคุกจากคดีทุจริตจำนำข้าว ได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทยมาสังกัด พปชร.

แถมด้วยคนในกลุ่มของนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอดีต ส.ส.กำแพงเพชร 7 สมัย ได้ยกทีมกำแพงเพชร เข้ามาอยู่ใต้ชายคา พปชร.จนเกลี้ยง แต่ตัวนายวราเทพนั้นติดโทษแบนทางการเมืองอยู่ ไม่สามารถลงสมัคร ส.ส.ได้

นายวราเทพชี้แจงว่า ส่วนตัวไม่ได้สังกัดพรรคเพื่อไทยมานานแล้ว ส่วนอดีต ส.ส.กำแพงเพชรของพรรคเพื่อไทยจะย้ายไปพรรคใหม่นั้นก็เป็นเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคน

ทั้งนายบุญทรงและนายวราเทพ ล้วนแต่เคยอยู่ในกลุ่มวังบัวบานของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวคุณทักษิณ และไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าเป็นสายตรงของนางเยาวภา ที่ทรงพลังทางการเมืองมากในอดีต

แต่ในเมื่อลูกชายของนายบุญทรงและกลุ่มของนายวราเทพ ย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ อันเป็นพรรคตรงข้ามทางการเมืองอย่างสุดขั้วของพรรคเพื่อไทย จึงสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ และสะเทือนฐานเสียงภาคเหนือของเพื่อไทย

 

ความเคลื่อนไหวชนิดสะเทือนเลื่อนลั่นดังกล่าว เท่ากับเป็นการยืนยันคำคุยโตจากกลุ่มสามมิตรก่อนหน้านี้ว่า จะมีอดีต ส.ส.อีกจำนวนมากย้ายมาอยู่กับ พปชร. เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่คุยโม้ แต่ทำได้จริง

สำหรับกรณีของนายเดชณัฐวิทย์ ลูกชายนายบุญทรงนั้น มีเรื่องราวดราม่าเป็นพิเศษ เมื่อเจ้าตัวยอมรับว่าย้ายออกจากเพื่อไทยเพราะน้อยใจที่ทนายของคุณยิ่งลักษณ์พูดจาในลักษณะให้ร้ายบิดาของตน

แทนที่จะช่วยเหลือเห็นใจกันในยามที่บิดาของตนยังติดคุกอยู่ จึงรู้สึกว่าผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยไม่ไว้วางใจตนและบิดา

เรื่องของเรื่องก็คือ นายบุญทรงถูกนำตัวออกจากเรือนจำเพื่อเข้ารับการรักษาอาการหมอนรองกระดูกสันหลังอักเสบที่โรงพยาบาลตำรวจ ทำให้คนในซีกเพื่อไทยออกมาพูดทำนองว่าป่วยจริงหรือเปล่า มีข้อตกลงลับอะไร (กับรัฐบาล) หรือไม่ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะมีการรื้อฟื้นคดีจำนำข้าวและอาจมีการซัดทอดไปถึงผู้ทำผิดที่เหลืออยู่ ซึ่งก็คือ “เจ๊” บางคน

นี่ยังไม่นับข่าวลับๆ ก่อนหน้านี้ที่ว่า นายบุญทรงช้ำใจมากที่ไม่รู้มาก่อนว่า คุณยิ่งลักษณ์จะหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาของศาลคดีจำนำข้าว เท่ากับว่านายบุญทรงถูกหลอกให้มาติดคุกแต่เพียงผู้เดียว

 

สภาพเลือดไหลออกครั้งใหญ่ ทำให้พรรคเพื่อไทยออกมาโวยวาย บ้างก็ด่าเหน็บแนมอดีตเพื่อนร่วมพรรคว่าไม่มีอุดมการณ์ บ้างก็ว่ารัฐบาล คสช.ใช้ทุกกระบวนท่ามาบีบคนของเพื่อไทยให้ไปอยู่ด้วย เช่น เอาเรื่องคดีความมาต่อรอง เสนออามิสสินจ้าง เสนอวิธีการแบ่งเขตเลือกตั้งเพื่อให้ได้เปรียบ แล้วก็สรุปว่า “เป็นการดูดและกวาดต้อนที่น่าตกใจ”

อันที่จริงสิ่งที่คนของเพื่อไทยออกมาโวยวายฝ่ายตรงข้าม ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในอดีตพรรคของคุณทักษิณน่าจะเคยทำมาแล้วกับมือทั้งสิ้น ใช้พลังดูดทุกกระบวนท่าไม่แพ้กันหรืออาจมากกว่า

การที่พรรคไทยรักไทยยุคคุณทักษิณกวาดเก้าอี้ ส.ส.ถล่มทลายไปในการเลือกตั้งสมัย 2 เมื่อปี 2548 ก็ล้วนเกิดจากอิทธิฤทธิ์แบบเดียวกัน คือมีการใช้เรื่องคดีความมาต่อรอง เช่น คดีคลองด่านเพื่อบีบพรรคการเมืองหนึ่งให้มาอยู่ใต้ชายคา ส่วนเรื่องอามิสสินจ้างนั้น รับรู้กันในนาม “ซองเงินพิเศษ” ของ ส.ส.ที่หัวหน้าพรรคจะมอบให้ในแต่ละเดือนนอกเหนือจากเงินเดือนปกติจากรัฐ

วิธีการต่างๆ ดังกล่าวบีบให้หลายพรรคต้องยุบรวมหรือภาษาธุรกิจเรียกว่าควบรวมกิจการกับพรรคไทยรักไทย เป็นการทำธุรกิจควบรวมกิจการพรรคการเมืองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

นอกจากนั้นก็นินทากันอีกว่า เพราะมีอำนาจรัฐในมือทำให้ในเวลานั้นสามารถ “ปิดหมู่บ้าน” ทั้งหมู่บ้าน ไม่ให้ใครมา “เปิดหัวจ่ายน้ำเลี้ยง” แข่งได้เลย

อันที่จริงสาเหตุที่ทำให้อดีตคนพรรคเพื่อไทยย้ายไป พปชร. ไม่น่าจะใช่เพราะเหตุปัจจัยอย่างที่เพื่อไทยกล่าวอ้างอย่างเดียว หากแต่น่าจะมีเหตุอื่น เช่น การไม่ลงตัวภายในพรรคเรื่องการจัดสรรพื้นที่ให้ลงสมัคร ส.ส. หรือเรื่องการไม่มีน้ำใจให้กัน หรือให้เกียรติกัน ดังกรณีของลูกชายนายบุญทรง

 

หรือกรณีนายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยลพบุรี ก็บอกว่าสาเหตุที่ย้ายพรรคเพราะกรรมการบริหารพรรคไม่เห็นตนอยู่ในสายตา โดยเฉพาะการแตกตัวไปตั้งพรรคอะไหล่อย่างไทยรักษาชาติหรือเพื่อธรรม ตนก็ไม่เคยได้รับการบอกกล่าว

นอกจากนั้นแล้วคงมองว่าตามรัฐธรรมนูญใหม่โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงเด็ดขาดเพื่อตั้งรัฐบาลคงยาก ซึ่งธรรมชาติของ ส.ส. ก็ต้องการอยู่กับพรรคที่มีแนวโน้มจะได้เป็นรัฐบาลมากกว่า

ด้านหมอเหวง โตจิราการ แกนนำแดง ออกมาดิ้นพล่าน นำรายชื่อคนเพื่อไทยที่ย้ายพรรคออกไปอยู่กับ พปชร. ในทำนองขู่ว่าระวังจะมีชะตากรรมเหมือนที่อดีตคนของทักษิณย้ายออกไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย

พร้อมกันนี้ยังตั้งคำถามว่า พปชร.เป็นพรรคการเมืองของ คสช.หรือไม่ เพราะมีคำว่าประชารัฐ คล้ายกับนโยบายประชารัฐของรัฐบาล

อันที่จริงไม่มีอะไรต้องสงสัยให้มากเรื่อง เพราะเป็นพรรคที่พูดชัดเจนอยู่แล้วว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์

แต่หมอเหวงก็ต้องตอบด้วยว่าพรรคไทยรักษาชาติ ที่เลือกใช้ชื่อย่อว่า ทษช. นั้นเป็นพรรคคุณทักษิณหรือไม่ เพราะมีคนเขาตั้งข้อสังเกตว่า ชื่อย่อนี้ถ้าจะแปลให้ตรงน่าจะแปลว่า พรรค “ทักษิณ ชินวัตร” มากกว่า

หากไม่ต้องการให้คนคิดเชื่อมโยงถึงคุณทักษิณ ชื่อย่อก็ควรเป็น ทรช. หรือ ทรษช. แต่นี่เล่นตัดตัว ร. ออกไปดื้อๆ ทั้งที่เป็นคำสำคัญ

 

การเลือกตั้งครั้งหน้าน่าลุ้นว่า ในเมื่อพรรคเครือข่ายคุณทักษิณเปิดหัวจ่ายไม่สะดวก เพราะไม่ได้กุมอำนาจรัฐ จะยังได้คะแนนเสียงมากเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่

สโลแกนเพื่อไทยที่เชิญชวนฐานเสียงว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” จะได้ผลหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีที่สมมติว่าฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้แจกเงินเลย แต่ก็ควบคุมใกล้ชิดไม่ให้พรรคเครือข่ายทักษิณแจกเงินได้เช่นกัน

ถ้าพรรคเครือข่ายทักษิณไม่ได้แจกเงิน แต่ยังชนะถล่มทลาย นี่ก็ค่อยพูดได้เต็มปากว่า ชนะมาอย่างใสสะอาดด้วยพลังประชาชนเนื้อๆ