จัตวา กลิ่นสุนทร : โครงการใหญ่ (อีกที) และความหวังกับรัฐบาลหลังเลือกตั้ง?

บังเอิญมีนิวาสสถานอยู่ในเขตคลองสานมานานเฉียด 40 ปี กลายเป็นคนพื้นถิ่นแต่ไม่ถึงกับดั้งเดิมเหมือนกับหุ้นส่วนชีวิต

จึงได้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของการเกิดสรรพสินค้า โรงแรม คอนโดมิเนียมขนาดยักษ์ ซึ่งท่าน “ชฎาทิพ จูตระกูล” หัวเรือใหญ่ของ “สยามพิวรรธน์” เธอเรียกว่า “อัตลักษณ์ไทย” ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เธอบอกว่า ได้ก้าวข้ามความเป็นสรรพสินค้า แต่สร้างโครงการเชิดชูความเป็นไทย เป็นการดึงเอาวัฒนธรรมมาใส่ไว้ในพื้นที่ของการค้าขาย จึงตั้งเป้าหมายว่าจะให้มันเป็น “พิพิธภัณฑ์” ระดับโลก

เคยกล่าวแล้วว่าเป็นการลงทุนขนาดใหญ่มโหฬารกว่าครึ่งแสนล้านบาท จึงได้กลายเป็นโครงการที่มหึมาที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย

ว่ากันง่ายๆ นอกจากเป้าหมายชาวต่างชาติทั่วไปแล้ว จุดขายสำหรับนักเดินทางท่องเที่ยวในเอเชียอย่างชาวจีนซึ่งมีประชากรเป็นอันดับ 1 ของโลก ปัจจุบันได้ออกเพ่นพ่านเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ย่อมเป็นตลาดใหญ่อย่างแน่ๆ

 

เพราะทุกวันนี้ “สยามพารากอน” (เครือสยามพิวรรธน์) ได้เป็นที่รู้จักของนักเดินทางท่องเที่ยวหลายมณฑลของคนจีนแผ่นดินใหญ่เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวเหล่านั้นเดินในห้างสรรพสินค้าดังกล่าวจำนวนมากทุกวัน รวมกับนักท่องเที่ยวของภูมิภาค และ ฯลฯ

เพียงมีจำนวนลดน้อยถอยลงในช่วงที่มีปัญหาอุบัติเหตุกระทบกับพวกเขาอย่างแรงเมื่อเรือท่องเที่ยวพาคณะทัวร์ชาวจีนล่มลงกระทั่งเสียชีวิตจำนวนมากที่จังหวัดซึ่งเป็นเกาะมีทะเลสวยงามบ้านเรา หลังจากนั้นลมปากของผู้บริหารระดับสูงซึ่งคิดว่าตัวเองมีอำนาจวาสนามากมายจนไม่มีใครแตะต้องได้ก็ได้กระหน่ำซ้ำลงไปอีก รวมทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่ทำอะไรกันไม่ค่อยโปร่งใสเรื่องวีซ่าหน้าด่าน สร้างผลกระทบกับจำนวนนักท่องเที่ยว

ปัญหาเหล่านี้ย่อมต้องได้รับการแก้ปมให้คลี่คลายหมดหายไปเพื่อให้ประเทศไทยเป็นตลาดท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนซึ่งมีประชากรจำนวนมหาศาล แน่นอนประชาชนคนไทยคงต้องช่วยกันเป็นเจ้าของบ้านที่ดีด้วย

ต้องทำการตลาดอย่างชาญฉลาดแบบเขตปกครองพิเศษ “มาเก๊า” นักลงทุนกล้าทุ่มลงทุนมากมายหลายๆ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทุกเส้นทาง ทั้งเครื่องบิน ถนน รถ เรือ เพื่อให้นักเดินทางจากรอบทิศเข้ามาสู่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ โดยเฉพาะคนจีนจากแผ่นดินใหญ่

ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ถ้าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ใกล้เคียงทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ สักหน่อย ป่านฉะนี้อะไรต่อมิอะไรคงจะเจริญก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่ โดยเฉพาะ “เศรษฐกิจ”—

 

ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลบ่นกันปากเปียกปากแฉะแต่ทำอะไรไม่ได้ว่า ขณะนี้ “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ทุกตัวดับสนิท เจ้าหน้าที่ของรัฐแพ้คดีเกี่ยวกับทัวร์ศูนย์เหรียญ อันเป็นเหตุของ “ทัวร์จีน” สลบถ้วนหน้าตลอดระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

เชื่อว่าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือเกิดอาเพศดินถล่มฟ้าทลายจนทำให้การเลือกตั้งทั่วไปต้องเลื่อนออกไปอีก คิดว่าอีกไม่เกินกลางปี 2562 ประเทศนี้ก็จะได้มี “รัฐบาลใหม่” ซึ่งไม่ได้มาจากการ “ยึดอำนาจ” อย่างน้อยก็มาจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งไม่ว่าใครจะมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” จะมาจาก “ผู้แทนราษฎร” ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน หรือร่วมมือกันวางแผนเหาะเหินเดินอากาศเอาเปรียบคนอื่นๆ พรรคการเมืองอื่นๆ มาแบบไม่รู้ไม่ชี้ทำหน้าหนาๆ มึนๆ เข้าไว้เพื่อสืบทอดอำนาจโดยฝีมือนักกฎหมายผู้ยอมรับใช้อย่างเต็มใจเพื่อผลประโยชน์ ความสุขสบายส่วนตัว ครอบครัวสมุนบริวาร ช่วยกันร่วมวางแผนออกแบบจัดการใส่พานไว้ให้

แต่เชื่อเถอะว่ามันย่อมจะไม่เป็นไปเช่นนั้น พรรคการเมืองซึ่งวางงานก่อตั้งกันขึ้นมาเพื่อเข็นให้ผู้นำคนปัจจุบันได้ไปต่อ ทำท่าออกอาการดีใจว่าจะต้องได้รับเลือกตั้งเข้ามาถึง 350 เสียง จากผู้แทนฯ ทั้งหมดทั่วประเทศจำนวน 500 เมื่อกลุ่มอดีตผู้แทนฯ หน้าซ้ำๆ เก่าๆ ลาจากบ้านเดิม พรรคเดิมพากันมาสมัครเป็นสมาชิก

ปี พ.ศ.2535 เมื่อเกิดพรรค “สามัคคีธรรม” ขึ้น โดยได้รวบรวมสมาชิกจากอดีตผู้แทนฯ หน้าเก่าๆ ของพรรคการเมืองต่างๆ มาเข้าสังกัด ไม่ค่อยแตกต่างจากกลุ่มซึ่งเที่ยวไปดูดอดีตผู้แทนฯ มาร่วมโดยมีผลประโยชน์เป็นเงินและอื่นๆ ปัจจุบัน

พรรค “สามัคคีธรรม” ประสบความสำเร็จเรื่องผู้แทนฯ หลังจากทุ่มเทเม็ดเงินจำนวนมาก ซึ่งถ้าหากจำไม่ผิด “กลุ่มทุน” เมื่อครั้งกระนั้น ยังคงเป็นผู้สนับสนุนผู้มีอำนาจปัจจุบันนี้เหมือนเดิม

ถ้าสนใจติดตามการเมือง ต้องยังจำกันได้ว่า “นายกรัฐมนตรี” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก “พรรคสามัคคีธรรม” เมื่อ 26 ปีที่ผ่านประสบความสำเร็จหรือไม่?

 

เชื่อว่าประชาชนคนไทยที่มีคนเขาตราหน้ากันว่าขาดการต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเอง คงไม่ต้องการให้บ้านเมืองที่เรารักต้องเสียเวลาอยู่กับกลุ่มผู้บริหารที่ไร้ประสิทธิภาพอีกต่อไป จนกลายเป็นประเทศล้าหลัง เศรษฐกิจตกต่ำตามไม่ทันประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว ในที่สุดก็จะหลุดหล่นหายกลายเป็นเดินตามหลังเพื่อนบ้านที่กำลังเร่งพัฒนาในทุกด้านรวมทั้ง “ประชาธิปไตย”

ถ้าหากฉลาดปราดเปรื่องเหมือนอย่างแสดงกันอยู่ทุกวัน ต้องทำทุกอย่างให้การ “เลือกตั้ง” ทั่วไปเกิดขึ้น และผ่านพ้นด้วย “บริสุทธิ์ยุติธรรม” ด้วยความจริงใจดังกำหนดกันไว้

“คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) ต้องปฏิบัติงานอย่างเป็นอิสระ ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจในการหาตัวแทนมาบริหารประเทศ ผู้มีอำนาจไม่ควรแทรกแซง เพราะทุกวันนี้ใครทำอะไรคงปิดบังซ่อนเร้นประชาชนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

“คืนอำนาจ คืนความสุข” ให้ประชาชน รอให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนเขาแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหา “เศรษฐกิจ” ของประเทศกันเองจะดีกว่าไหม?

 

ยอมรับในความกล้าหาญ ความเชื่อมั่นของกลุ่ม “สยามพิวรรธน์+เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)+แม็กโนเลีย” ที่ทุ่มลงทุนสร้าง “แลนด์มาร์ก” ของประเทศอย่าง “ไอคอนสยาม” (ICONSIAM) ในช่วงประเทศชาติอยู่ในระบอบการปกครองซึ่งไม่เป็นที่นิยมชื่นชอบของประเทศ “เสรีประชาธิปไตย” ทั่วไป จนเป็นที่ยอมรับและสั่นสะเทือนไปทั่วทุกวงการ

รัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุน อำนวยความสะดวกทุกสิ่งอย่างให้กับ “ไอคอนสยาม” (ICONSIAM) ซึ่งขณะนี้กลายเป็นตัวเชื่อมโยงดึงดูดนักท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะจากประเทศจีน ในยามที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจของบ้านเราดับหมดทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การส่งออก การลงทุน เหลือแต่เพียงการใช้จ่ายของรัฐ อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญคร่ำหวอดในวงการตลาดทุน ตลาดเงิน และเศรษฐกิจ วิเคราะห์

ผลกระทบที่เกิดขึ้นในด้านการจราจรซึ่งสร้างความตื่นตระหนกแต่แรกอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ค่อยๆ แก้ไขกันได้ เพราะไม่เฉพาะกับโครงการใหญ่ๆ อย่างนี้เท่านั้น มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันของคนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ดังได้เคยกล่าวไปแล้ว ขอเพียงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องพูดความจริงกับประชาชน

รถไฟฟ้าสาย “สีทอง” ที่จะเกิดขึ้นย่อมเป็นความพยายามในการแก้ปัญหาการจราจรให้คล่องตัวลื่นไหลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งมันย่อมได้ประโยชน์แบบวิน-วินด้วยกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่คุ้มค่ากับการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท

กล่าวแล้วว่าผมได้กลายเป็นคนพื้นถิ่นใน “เขตคลองสาน” ตื่นตาตื่นใจจนอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ เพราะอยู่ใกล้แค่เดินออกจากบ้านขึ้นรถไฟฟ้ายัง “สถานีกรุงธนบุรี” ไปเพียงสถานีเดียวก็จะถึง “ไอคอนสยาม” (ICON SIAM)

แต่ไม่ใช่วันนี้ ต้องรอไปอีกอย่างน้อย 1 ปีเต็ม