คนของโลก “ลี กวน ยิว” บิดาผู้ก่อตั้งสิงคโปร์

ลีกวน ยิว หนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญสำหรับการผงาดขึ้นมาของเศรษฐกิจเอเชีย ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำเผด็จการที่พลิกโฉมสิงคโปร์จากเมืองด่านหน้าเล็กๆ อันเงียบเหงาของจักรวรรดิอังกฤษมาสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการเงินแห่งหนึ่งของโลก

อดีตนายกรัฐมนตรีที่รู้จักกันในชื่อ “แอลเควาย” เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา หลังต้องต่อสู้กับอาการป่วยด้วยโรคปอดบวมมาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ ขณะมีอายุได้ 91 ปี เป็นการสิ้นสุดการควบคุมการเมืองสิงคโปร์มาเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ ภายหลังหลุดพ้นจากการตกอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคม

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้หลังได้พบกับลีที่ทำเนียบขาวเมื่อเดือนตุลาคม 2009 ว่า “นี่เป็นหนึ่งในบุคคลระดับตำนานของเอเชียในศตวรรษที่ 20 และ 21”

นักกฎหมายที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษผู้นี้ กำหนดเส้นทางเดินของสิงคโปร์ที่ทำให้ได้เห็นรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 100 เท่า จากการลงทุนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ระบบราชการที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง และสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

ทว่า เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการปกครองแบบ “กำปั้นเหล็ก” โดยการบีบบังคับจนนักการเมืองฝ่ายค้านหลายคนล้มละลาย หรือไม่ก็ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

และครั้งหนึ่งถึงกับประกาศโดยอ้างคำกล่าวของ นิคโคโล มาเคียแวลลี นักปรัชญาการเมืองชื่อดัง ว่า “หากไม่มีใครเลยที่กลัวผม ผมก็ไร้ความหมาย”

 

เส้นทางการเมืองของลีกินระยะเวลายาวนาน 30 ปี ในฐานะนายกรัฐมนตรี และอีก 20 ปี ในฐานะรัฐมนตรีอาวุโสของรัฐบาล ทว่าในช่วงปีหลังๆ ของชีวิต สุขภาพของเขาทรุดโทรมลงมากหลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตลงเมื่อเดือนตุลาคม 2010

ลียังคงเป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมาก ทว่ากลายเป็นเป้าของการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทางสื่อเครือข่ายสังคมจากการที่ชาวสิงคโปร์บางส่วนเริ่มกล้าที่จะแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ตัวเขา และมรดกตกทอดด้านการเมืองและสังคมที่เขาทิ้งไว้

ซึ่งผลกระทบในสิ่งที่ลีทิ้งไว้ ผ่านทางนโยบายที่นายกรัฐมนตรี ลี เซียน หลุง บุตรชายของเขานำมาใช้ มีแนวโน้มว่าจะคงอยู่ไปอีกเป็นเวลาหลายปี

ลี กวน ยิว ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากที่อังกฤษให้อำนาจในการปกครองตนเองกับสิงคโปร์ในปี 1959 ก่อนที่จะเข้าร่วมกับมาเลเซียเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ราว 2 ปีที่ไม่ค่อยราบรื่นนัก

6 ปีต่อมา เขาก้าวขึ้นสู่เวทีโลกในฐานะผู้นำของสาธารณรัฐเกิดใหม่ที่เปราะบาง หลังจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรส่วนใหญ่จากจำนวน 2 ล้านเป็นคนเชื้อสายจีน แยกตัวออกจากสหพันธรัฐมาลายา

“เราต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ใหญ่โตและโอกาสในการอยู่รอดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้” ลีเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา “เราได้รับเกาะที่ด้อยความเจริญ เหมือนหัวใจที่ไม่มีร่างกาย”

 

ภายใต้การกุมบังเหียนของเขา สิงคโปร์ดึงดูดเงินลงทุนจากนานาชาติและแรงงานจากต่างประเทศมาถมช่องโหว่ด้านกำลังคนจนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุด ปลอดภัยที่สุด และมีสังคมที่มีเสถียรภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปกครองแบบเผด็จการของลี สิงคโปร์ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางในฐานะต้นแบบของการพัฒนาในระหว่างช่วงเวลาที่พวกเขาสามารถผงาดขึ้นเหนือชาติที่เป็นอดีตอาณานิคมแห่งอื่นๆ ที่ต้องประสบปัญหาความขัดแย้งเรื้อรังยาวนานและการจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาด

ลีก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 1990 และส่งต่ออำนาจให้กับ โก๊ะ จ๊ก ตง ผู้ช่วยของเขา ที่ต่อมาได้ยื่นไม้ต่อให้กับ ลี เซียน หลุง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันซึ่งเป็นลูกชายคนโตของ ลี กวน ยิว ในปี 2004

เขาสะเทือนใจมากจากการเสียชีวิตของ กวา ก็อก ชู ภรรยาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกฎหมายที่เคมบริดจ์ หลังแต่งงานอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานถึง 60 ปี โดยยอมรับว่า “ในช่วงเวลาของการจากกัน หัวใจของผมหนักอึ้งไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ” ทำให้สุขภาพของเขาย่ำแย่ลงนับตั้งแต่นั้น

ท้ายที่สุดแล้ว การจากไปของรัฐบุรุษผู้นี้คงทำให้สิงคโปร์เปลี่ยนไปไม่น้อยชนิดที่ต้องเฝ้าจับตามอง