จรัญ มะลูลีม : สิ่งสุดท้ายของศาสดา

จรัญ มะลูลีม

การที่ศาสดาไปเยือนมัสญิดนั้นกลายเป็นเพียงการสลับฉากของความตื่นตัวที่นำหน้ามรณภาพมาเท่านั้น เพราะหลังจากท่านกลับมาบ้านแล้ว สุขภาพของท่านก็ทรุดโทรมลงไปทุกนาที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านมีเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงไม่นานเท่านั้น

ท่านจะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังของชีวิตนี้อย่างไร?

ท่านหลับตามองเห็นอะไรเป็นสิ่งสุดท้ายเล่า?

ท่านได้ใช้ชั่วขณะอันมีค่านี้ไปในการทบทวนดูภารกิจของท่านที่ท่านได้ทำมานับตั้งแต่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายให้ท่านเป็นศาสดาและทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้นำทางแก่มนุษยชาติ

ท่านได้ระลึกถึงความยากลำบากที่ท่านเคยได้รับมา ความปลื้มปีติที่ท่านเคยประสบมาและชัยชนะทางด้านจิตวิญญาณและด้านการทหารที่เคยผ่านมานั้นหรือไม่?

หรือว่าท่านได้ใช้เวลาในวาระสุดท้ายอ้อนวอนแด่พระผู้เป็นเจ้าและขอความเมตตาของพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจเหมือนดังที่ท่านเคยทำมาตลอดชีวิตของท่าน?

หรือว่าท่านอ่อนเพลียเสียจนไม่สามารถทบทวนอะไรได้ และไม่มีสติจนแม้แต่จะวิงวอน?

 

มีรายงานแตกต่างกันอย่างมากมาย รายงานส่วนใหญ่กล่าวว่าในวันนั้นคือวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.632 เป็นวันที่ร้อนที่สุดวันหนึ่งในอารเบีย ศาสดามุฮัมมัดได้ร้องขอน้ำเย็นๆ อ่างหนึ่งซึ่งท่านเอามือจุ่มลงไปและเอามาเช็ดหน้า

รายงานส่วนใหญ่กล่าวว่า ได้มีชายผู้หนึ่งจากตระกูลของอะบูบักร์เข้ามาในบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์โดยถือแปรงสีฟันอันหนึ่งมาในมือ

ศาสดาได้มองดูเขาในลักษณะที่แสดงว่า อยากได้แปรงสีฟันอันนั้น อาอิชะฮ์จึงรับแปรงมาจากญาติของนางแล้วจัดการจนมันอ่อนดีแล้วก็ส่งให้แก่ศาสดามุฮัมมัดและท่านก็ใช้มันแปรงฟันของท่าน

รายงานเดียวกันนั้นยังบอกด้วยว่าในขณะที่ความเจ็บปวดรวดร้าวแห่งมรณภาพรุนแรงขึ้น ศาสดาได้หันไปกล่าววิงวอนแด่พระผู้เป็นเจ้าว่า

“โอ้พระผู้เป็นเจ้า ขอได้ทรงโปรดให้ข้าพระองค์เอาชนะความเจ็บปวดแห่งความตายได้ด้วยเถิด”

 

ท่านหญิงอาอิชะฮ์รายงานว่า ในระหว่างชั่วโมงสุดท้ายนั้นศีรษะของท่านอยู่บนตักของนาง

นางเล่าว่า ศีรษะของศาสดาที่อยู่บนตักของฉันนั้นหนักขึ้น ฉันมองดูหน้าท่านและได้พบว่านัยน์ตาของท่านแน่นิ่งอยู่

ฉันได้ยินท่านพึมพำว่า “โอ้ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอยู่ในสวรรค์อันสูงสุด”

ฉันจึงพูดกับท่านว่า “ด้วยพระองค์ผู้ทรงส่งท่านมาเป็นศาสดาให้สั่งสอนสัจธรรม ท่านได้ถูกมอบทางเลือกให้ และท่านก็เลือกได้ดีแล้ว”

ศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตไปในขณะที่ศีรษะของท่านวางอยู่บนสีข้างของฉันระหว่างปอดกับหัวใจของฉัน เพราะความเยาว์วัยและขาดประสบการณ์ของฉันนั่นเองที่ทำให้ฉันปล่อยให้ท่านสิ้นชีวิตบนตักของฉัน แล้วฉันก็จับศีรษะของท่านวางไว้บนหมอนและลุกขึ้นไปคร่ำครวญในชะตากรรมของฉัน และไปร่วมกับผู้หญิงคนอื่นๆ ในความสูญเสียและโศกเศร้าของเรา

ศาสดามุฮัมมัดสิ้นชีวิตไปจริงๆ หรือเปล่า?

นี่เป็นคำถามที่ชาวอาหรับในตอนนั้นมีความคิดแตกต่างกัน และแตกต่างกันเป็นอย่างมากเสียจนพวกเขาเกือบจะต่อสู้กัน

ต้องขอบคุณต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่การแตกแยกนั้นได้หมดไปอย่างรวดเร็ว

และศาสนาของชาวหะนีฟ-ศาสนาอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าก็ดำรงอยู่โดยไม่มีอันตราย

 

การฝังศพศาสดา

เหตุการณ์หลังการจากไปของท่านศาสดา (ขอความสันติจากพระผู้เป็นเจ้ามีแด่ท่าน)

ไปจนถึงการฝังศพของท่านถูกบอกเล่าโดยนักประวัติศาสตร์ และนักคิดคนสำคัญของโลกอิสลาม ชาวอียิปต์อย่างหุซัยน์ ฮัยกัล

ดังต่อไปนี้

 

ชาวมุสลิมตระหนกตกใจในข่าวอสัญกรรม

เพราะฉะนั้น ศาสดาจึงได้เลือกเอาการไปพบกับพระผู้เป็นเจ้าในสรวงสวรรค์ในขณะที่ท่านอยู่ในบ้านของท่านหญิงอาอิชะฮ์ และวางศีรษะของท่านไว้บนตักของนางนั่นเอง

เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นดังนี้ อาอิชะฮ์ก็ยกศีรษะของท่านวางลงบนหมอนและออกไปสมทบกับสตรีคนอื่นๆ ในครอบครัว ซึ่งรีบวิ่งเข้ามาหานางทันทีที่ได้ยินข่าวแล้วก็เริ่มร้องไห้กันด้วยความโศกเศร้าและสูญเสีย

ชาวมุสลิมที่มัสญิดรู้สึกแปลกใจที่มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ในตอนเช้านี่เองพวกเขาได้เห็นศาสดาอยู่หยกๆ และมั่นใจว่าสุขภาพของท่านดีขึ้นแล้วเป็นอย่างมาก จนอะบูบักร์ได้ขอนุญาตท่านไปเยี่ยมภริยาของเขาที่อัชซุนห์

เมื่ออุมัรได้ยินข่าวเข้าเขาก็แทบไม่เชื่อ เขาจึงรีบกลับมาที่บ้านพักของศาสดาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึง เขาก็ตรงไปที่เตียงของศาสดาทันที เขาเปิดผ้าคลุมออกและมองดูหน้าท่านอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดว่าที่ท่านนอนนิ่งมีลักษณะเหมือนคนที่หาชีวิตไม่แล้วนั้นคืออาการโคม่า ซึ่งเขาเชื่อว่าอีกไม่ช้าท่านก็จะหายจากอาการนั้น

อัลมุฆีเราะฮ์ได้พยายามที่จะยืนยันถึงความจริงอันน่าปวดร้าวนั้นให้อุมัรฟัง

แต่ก็ไร้ผล อุมัรยังคงเชื่อต่อไปอย่างมั่นคงว่าศาสดามุฮัมมัดยังไม่ตาย

เมื่ออัลมุฆีเราะฮ์ยืนยันหนักๆ เข้า อุมัรก็พูดกับเขาอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านพูดปด” ทั้งสองไปที่มัสญิดด้วยกัน

ในนั้น อุมัรได้ประกาศเสียงดังสุดเสียงว่า “คนหน้าไหว้หลังหลอกบางคนแสร้งบอกว่าศาสดา (ขอความสันติและพรของพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านเถิด) สิ้นชีวิตแล้ว แต่ด้วยพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอสาบานว่าท่านยังไม่ตาย ท่านเพียงแต่ไปเฝ้าพระผู้อภิบาลของท่านเหมือนกับที่ศาสดามูซา (โมเสส) เคยไปแต่ก่อนนั้น

ศาสดามูซาหายไปจากประชาชนของท่านเป็นเวลาสิบสี่คืนติดๆ กัน และกลับมาหลังจากคนเหล่านั้นประกาศออกมาแล้วว่าท่านตาย ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าก็จะกลับมาเหมือนอย่างที่ศาสดามูซากลับมา ผู้ใดก็ตามที่บังอาจกระพือข่าวลือว่าศาสดามุฮัมมัดหาชีวิตไม่แล้วจะต้องถูกตัดมือและตัดแขนตัดขาเสีย

ที่มัสญิด เมื่อชาวมุสลิมได้ยินคำประกาศนี้จากอุมัร พวกเขาก็จะตระหนกตกใจจนตัวแข็ง ถ้าศาสดามุฮัมมัดสิ้นชีวิตไปจริงๆ บรรดาผู้ที่ได้เห็นท่านและได้ยินท่าน ผู้ที่เชื่อในตัวท่านและในพระผู้เป็นเจ้าซึ่งทรงส่งท่านมาเป็นผู้สื่อสารทางนำและศาสนาอันเที่ยงแท้ก็จะพินาศกันหมด ความสูญเสียของพวกเขาจะใหญ่หลวงเสียจนหัวใจและสมองของพวกเขาจะแตกอ้าออก

อีกด้านหนึ่ง ถ้าเป็นความจริงที่ว่าศาสดามุฮัมมัดยังไม่สิ้นชีวิต เพียงแต่เดินทางไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าเหมือนอย่างที่อุมัรบอก นั่นก็จะทำให้ยิ่งน่าตระหนกตกใจมากขึ้นไปอีก

ถ้าเช่นนั้นชาวมุสลิมก็ควรจะรอการกลับมาของท่าน ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากขึ้นเหมือนอย่างการกลับมาของศาสดามูซา

 

กลุ่มชาวมุสลิมนั่งอยู่รอบๆ อุมัรและฟังเขาพูด ออกจะเห็นด้วยกับเขาว่าศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้ามิได้สิ้นชีวิต พวกเขาไม่อาจจะเอาความตายไปรวมกับคนที่พวกเขาเพิ่งจะเห็นตัวตนอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วมานี้

และผู้ที่พวกเขาได้ยินเสียงอันแจ่มใสเป็นกังวานของท่านเพิ่งสักการะและวิงวอนขอความเมตตาปรานี และขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าอยู่หยกๆ นั้นได้

ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังไม่สามารถมั่นใจได้ว่ามิตรผู้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกให้เป็นผู้นำสารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์มา คนที่ชาวอาหรับทั้งมวลยอมจำนน และแม้แต่กษัตริย์คุสโรและจักรพรรดิเฮราคลิอุสก็จะต้องยอมแพ้ในไม่ช้านี้จะสามารถตายได้

พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ว่าคนที่เคยมีอำนาจชนิดที่สั่นโลกให้สะเทือนมาเป็นเวลายี่สิบปีติดต่อกัน และได้สร้างพายุด้านจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จะสามารถตายได้

อย่างไรก็ดี พวกผู้หญิงก็ยังคงตีหน้าและร้องไห้อยู่ที่บ้านของศาสดาซึ่งเป็นเครื่องหมายที่เห็นได้ชัดๆ แล้วว่าท่านได้สิ้นชีวิตไปแล้วจริงๆ

แต่กระนั้นในมัสญิดตรงนี้ อุมัรก็ยังคงประกาศอยู่ว่าศาสดามุฮัมมัดยังไม่ตาย แต่ท่านไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่ศาสดามูซาเคยทำ

คนที่พูดว่าศาสดาสิ้นชีพไปแล้วนั้นคือคนหน้าไหว้หลังหลอกซึ่งจะต้องถูกตัดแขนตัดขาเมื่อศาสดากลับมา

แล้วชาวมุสลิมจะเชื่ออะไรเล่า?

ในขณะที่พวกเขาหายจากความตระหนกตกใจ ความหวังก็เริ่มสั่นไหวอยู่ในใจพวกเขาด้วยคำอ้างของอุมัรที่ว่าศาสดาจะต้องกลับมา

ในไม่ช้าพวกเขาก็เชื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการให้เป็นความคิดอันเต็มไปด้วยความปรารถนาของพวกเขาได้ระบายสีของท้องฟ้าให้เป็นสีน้ำเงินสดใสสวยงามสำหรับพวกเขา