ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
หกตุลารำลึก (6) สงครามของจักรวรรดินิยม
“สหรัฐถือว่าการรักษาเอกราชและบูรณภาพของประเทศไทยมีความสำคัญต่อผลประโยชน์ของสหรัฐและต่อสันติภาพของโลก”
ดีน รัสค์
รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
หลังจากปี 2523 สงครามปฏิวัติไทยค่อยๆ สงบลง แม้สงครามจะจบ แต่ผมมีคำถามค้างคาใจประการหนึ่งว่า แล้วบทบาทของมหาอำนาจใหญ่อย่างสหรัฐเป็นอย่างไร
เรากล่าวโจมตี “จักรวรรดินิยมอเมริกา” มาตลอดการเคลื่อนไหว
ถ้าเช่นนั้นแล้วสหรัฐทำอะไรในบ้านเรา แล้วทำไมผู้นำไทยทั้งในทางจิตวิทยาและในทางยุทธศาสตร์จึงผูกพันอยู่กับบทบาทของสหรัฐ
จนรู้สึกว่ารัฐไทยไม่อาจอยู่รอดได้โดยปราศจาก “การคุ้มครอง” ของสหรัฐ…
สหรัฐสำคัญกับความมั่นคงไทยขนาดนั้นจริงหรือ?
อเมริกันอันตราย!
ในการเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล ผมเลือกหัวข้อทำวิทยานิพนธ์ที่เป็นประเด็นเก่าและคุ้นเคยตั้งแต่ครั้งทำการเคลื่อนไหวในขบวนนักศึกษา
คือนโยบายต่างประเทศของสหรัฐกับการปกครองของทหารไทย, 2490-2520 (United States Foreign Policy and Thai Military Rule, 1947-1977) เพราะเป็นหัวข้อที่จะทำให้ผมเห็นภาพกว้างของสถานการณ์การเมืองและสงครามของไทย ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อออกจากสหภาพแรงงานที่อ้อมน้อยและกลับเข้ามาสู่ขบวนนักศึกษา
ผมหันมาสนใจประเด็นทางด้านยุทธศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับหลังจากการเคลื่อนไหวเรื่องฐานทัพสหรัฐในปี 2518 ผมได้กลับเข้ามาช่วยงานที่ศูนย์นิสิต จึงกลายเป็นโอกาสให้ผมได้ทำงานข้อมูลและเดินสายอภิปรายประเด็นนี้
อีกทั้งก่อนหน้านี้ผมเองได้มีส่วนร่วมในการทำหนังสือเรื่อง “อเมริกันอันตราย” ของชมรมรัฐศึกษา จุฬาฯ ด้วย
บทบาทของสหรัฐในเอเชียในยุคสงครามเย็นเป็นสิ่งพูดและเขียนได้ไม่รู้จบ และเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่นักเรียนไม่ว่าจะในวิชายุทธศาสตร์หรือในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องเรียนรู้ และทั้งยังเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบทั้งกับไทยและเอเชียโดยรวม
แม้สงครามเย็นจะสิ้นสุดลงนานพอสมควรแล้ว แต่นัยที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐต่อภูมิภาคนี้ ยังคงทิ้งมรดกสำคัญไว้จวบจนปัจจุบัน
และที่สำคัญบทบาททางยุทธศาสตร์ของสหรัฐในเอเชียเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ แม้สหรัฐจะมีพันธะผูกพันอย่างมากกับปัญหาความมั่นคงในยุโรปภายใต้ความตกลงขององค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO)
แต่สนามรบจริงของสหรัฐกลับอยู่ในเอเชีย และกองทัพสหรัฐเข้าสู่สงครามใหญ่ในยุทธบริเวณเอเชียถึง 2 ครั้ง คือสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม
สงครามเกาหลีเป็นบททดสอบแรกทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ผู้นำสหรัฐตระหนักดีว่าหลังจากสูญเสียจีนให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์แล้ว สหรัฐไม่อาจปล่อยให้ประเทศในเอเชียต้องเป็นคอมมิวนิสต์อีก
ผลจากการนี้ทำให้สหรัฐจัดทำแผนยุทธศาสตร์ใหม่ แผนนี้รู้จักในชื่อของ “คำสั่งสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ 68” (The NSC 68) ได้กำหนดเข็มมุ่งอย่างชัดเจน ให้สหรัฐต่อสู้กับการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการต่างๆ
และหากจำเป็นก็ให้ใช้กำลัง สงครามเกาหลีในปี 2493 จึงเป็นโอกาสอย่างดีให้ทำเนียบขาวดำเนินการภายใต้คำสั่งที่ 68 และสงครามเกาหลีจบลงด้วยการหยุดยิงในปี 2496…จบแบบไม่จบ
ต่อมาสหรัฐตัดสินใจแบกรับสงครามอีกชุดในเวียดนาม คำอธิบายไม่แตกต่างกันคือ สหรัฐต้องปกป้องรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์
จากข้อมูลข่าวกรอง กลุ่มเวียดมินห์ได้รับความช่วยเหลือจากโซเวียต และหลังจากชัยชนะของประธานเหมาในจีนในปี 2492 แล้ว สหรัฐยิ่งมองเห็นขบวนการเรียกร้องเอกราชเวียดนามว่าเป็นขบวนการคอมมิวนิสต์
และยิ่งประกอบกับความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูในปี 2497 ก็ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อในแบบ “ทฤษฎีโดมิโน” ว่า การขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามความมั่นคงที่สำคัญ และสหรัฐจะต้องเข้ามาปกป้องรัฐในเอเชีย
ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงต้นของการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มาลายาคือจุดกำเนิดของสงครามชุดใหม่ พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาตัดสินใจในการเปิดการโจมตีอย่างไม่มีใครคาดคิดในปี 2491
และรัฐบาลอังกฤษสามารถรับมือได้อย่างดี จนสงครามสงบลงในปี 2503
ทำให้คำถามตามมาว่า แล้วสหรัฐจะรับมือกับสงครามเวียดนามอย่างไร
เพราะทั้งสองสงครามมีลักษณะร่วมกันในการเป็น “สงครามก่อความไม่สงบ” ของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งท้าทายผู้นำทหารอย่างมากว่า แล้วจะรบอย่างไร
ไต่บันไดสงคราม
ดังนั้น การตัดสินใจของสหรัฐที่จะเข้าไปมีบทบาทแทนเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสที่พ่ายแพ้สงครามในสนามรบที่เดียนเบียนฟูในปี 2497 เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และเป็นดังการ “ไต่บันไดสงคราม” โดยในปี 2493 สหรัฐเริ่มสนับสนุน “รัฐบาลหุ่น” ที่ฝรั่งเศสจัดตั้งขึ้นทั้งในทางเศรษฐกิจและการทหาร และบทบาทของสหรัฐมีมากขึ้นในการสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ในปี 2498
ต่อมาในปี 2504 ทำเนียบขาวได้เพิ่มที่ปรึกษาทางทหารมีจำนวนถึง 18,000 นาย
พร้อมกันนั้นในปี 2506 สหรัฐได้เริ่มเปิดการโจมตีทางอากาศต่อที่หมายบางแห่งในเวียดนามใต้
จนเมื่อเกิดวิกฤตการณ์อ่าวตังเกี๋ยขึ้นในปี 2507 การโจมตีทางอากาศต่อที่หมายในเวียดนามเหนือได้เริ่มขึ้น
และนาวิกโยธินอเมริกันได้ยกพลขึ้นบกที่ดานังด้วย
และสงครามในเวียดนามก็ยกระดับขึ้น โดยสหรัฐเข้าไปมีบทบาทในการรบอย่างเต็มที่
ตัวเลขสูงสุดของกำลังพลของสหรัฐในเวียดนามคือ 540,000 นายในปี 2512
ความรุนแรงของสงครามนั้น เห็นได้ว่าสหรัฐเปิดการโจมตีทางอากาศสูงถึง 5.25 ล้านเที่ยวบินต่อเป้าหมายในเวียดนามทั้งเหนือและใต้ ในลาว และในกัมพูชา และตลอดการสงครามมีเครื่องบินที่สูญเสียจากปฏิบัติการทางอากาศถึงราว 8,588 ลำ (ทั้งอากาศยานและเฮลิคอปเตอร์) ซึ่งมีมูลค่าความสูญเสียมากกว่า 7 พันล้านเหรียญอเมริกัน
อีกทั้งยังมีเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าร่วมถึง 21 ลำในตลอดช่วงของสงคราม (เรือบรรทุกเครื่องบินออกปฏิบัติการในทะเลนานถึง 9,178 วัน)
โดยเรือบรรทุกเครื่องบินเหล่านี้จำนวน 4-5 ลำจะลอยลำห่างจากชายฝั่งของเวียดนามเหนือออกไปราว 200 ไมล์ และเรียกกันว่า “สถานีแยงกี้” (Yankee Station)
แม้กำลังรบทางบกของสหรัฐจะถอนออกจากเวียดนามใต้ในช่วงปี 2515 แต่ปฏิบัติการทางอากาศจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อสนับสนุนกองทัพเวียดนามใต้
กระทั่งในวันที่ 15 มกราคม 2516 ทำเนียบขาวได้ประกาศหยุดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การยุติสงครามภายใต้คำกล่าวของประธานาธิบดีนิกสันว่า เป็นการสร้าง “สันติภาพอย่างมีเกียรติ” (Peace with Honor)
และเป็นความหวังว่าสงครามจะสงบโดยไม่ทำลายเกียรติภูมิของสหรัฐ
สหรัฐถอนตัวออกจากเวียดนามพร้อมกับการเสียชีวิตของทหารมากกว่า 58,000 นาย
และฉากสุดท้ายของสงครามจบลงด้วยเฮลิคอปเตอร์แบบซีเอช-53 อพยพนาวิกโยธินอเมริกันชุดสุดท้ายซึ่งเป็นชุดคุ้มครองสถานทูตออกจากไซ่ง่อน
สงครามของสหรัฐในเวียดนามจบลงจริงๆ แล้ว และน่าคิดต่ออย่างมากว่า สงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ของสหรัฐในแบบที่ทำในเวียดนามกลับไม่ขยายตัวเข้ามาในไทย แม้การขยายการโจมตีทางอากาศจะขยับออกมาสู่พื้นที่ของลาวและกัมพูชาในเวลาต่อมา
แต่ปฏิบัติการเช่นนี้ก็ไม่เกิดขึ้นในไทย…
ลองจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีการโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่เช่นในสงครามเวียดนามเกิดต่อเป้าหมายในไทย และแน่นอนว่าการที่สงครามไม่ขยายมายังพื้นที่ของไทยต้องถือเป็นเรื่องดี เพราะความเสียหายจากการทำลายของสงครามอย่างในเวียดนามรุนแรงมากเกินกว่าที่ชีวิตทางสังคมจะพึงแบกรับได้
มรดกสงครามนี้จึงกลายเป็น “ตราบาป” ของ “จักรวรรดินิยมอเมริกา” ในสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และมีผลกระทบเกิดขึ้นกับสังคมอเมริกันอย่างมากเช่นกันด้วย จนเป็น “บาดแผล” สำคัญของสังคม
เรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่จม!
ความสัมพันธ์ในโลกสมัยใหม่ของยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างไทยกับสหรัฐนั้น มีสงครามเกาหลีในปี 2493 เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
และไทยเป็นหนึ่งประเทศในเอเชียที่ตอบรับต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐในการส่งกำลังทหารเข้าร่วมในสงครามนี้
สงครามเกาหลีจึงเป็นจุดเริ่มต้นในนโยบายความมั่นคงไทยที่รัฐบาลพิบูลสงครามนำประเทศเข้าร่วมในค่ายตะวันตก (หลังจากที่เขาได้พาไทยเข้าร่วมในค่ายอักษะมาแล้วในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2)
และในปีเดียวกันรัฐบาลไทยได้รับรองรัฐบาลหุ่นของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสในเวียดนาม หรือรัฐบาลของกษัตริย์เบ๋าได๋ (Baodai) ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายของสหรัฐ จนฝรั่งเศสแพ้สงครามเดียนเบียนฟูในปี 2497 และสหรัฐได้จัดตั้งองค์กรสนธิสัญญาป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีโต้-SEATO) ขึ้นในปีเดียวกันนี้ เพื่อเตรียมรับกับภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย
ผู้นำทหารไทยในยุคซีโต้อย่างจอมพลสฤษดิ์มีความกังวลกับปัญหาความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านเช่นการคุกคามของคอมมิวนิสต์ในลาวอย่างมาก
จนในปี 2505 สหรัฐต้องให้หลักประกันความมั่นคงด้วยการลงนามความตกลงแบบทวิภาคีในแถลงการณ์ร่วมถนัด-รัสค์ (The Thanat-Rusk Communique) อันเป็นการยืนยันว่าสหรัฐมีพันธะในการปกป้องไทยจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ และเป็นพันธะที่ไม่ผูกพันในกรอบของซีโต้ พัฒนาการของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้ในยุคของจอมพลถนอม สหรัฐได้ยกระดับบทบาทในไทยมากขึ้น
เช่น ในปี 2507 มีการตระเตรียมฐานทัพอากาศในไทยเพื่อรองรับต่อสถานการณ์สงคราม
และขณะเดียวกันได้มีการทำแผนสงครามหรือที่เรียกว่า “แผนเผชิญเหตุ” (The Contingency Plan) ระหว่างผู้นำทหารของทั้งสองประเทศ
แผนนี้อาจจะไม่เป็นที่รับรู้ในสังคมไทยมากนัก หากในทางความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศแล้ว แผนดังกล่าวคือภาพสะท้อนของการเตรียมรับสงครามที่จะเกิดขึ้นกับไทย โดยมีสหรัฐเป็นผู้สนับสนุนหลัก
แผนนี้จึงมีนัยสำคัญอย่างมาก อันเท่ากับเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมถึงพันธกรณีของสหรัฐต่อปัญหาความมั่นคงไทย และมีผลในทางจิตวิทยาสำหรับผู้นำทหารไทยอย่างสูงที่ทำให้เกิดความมั่นใจว่า สหรัฐจะไม่ทอดทิ้งประเทศไทยให้ต้องเผชิญกับสงครามคอมมิวนิสต์อย่างโดดเดี่ยว หรือมีนัยโดยตรงว่า สหรัฐจะไม่ปล่อยให้ไทยต้องกลายเป็น “โดมิโน” นั่นเอง
และผลของความสัมพันธ์เช่นนี้เองที่นำไปสู่การอนุญาตให้สหรัฐใช้ฐานทัพอากาศในไทยในการโจมตีเวียดนามเหนือและภาคเหนือของลาวในปี 2508
ฉะนั้น สงครามของสหรัฐในเวียดนามจึงมีนัยที่ผูกพันอยู่กับสถานะความมั่นคงของไทยด้วย เพราะ “เสียงปืนแตก” ของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในกลางปี 2508 ถูกตีความว่าเป็นปฏิบัติการทหารเพื่อตอบโต้กับการขยายสงครามของสหรัฐในอินโดจีน
ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงที่สำคัญอันเป็นผลสืบเนื่องจากการนี้ก็คือ การที่ผู้นำทหารของไทยและสหรัฐได้ลงนามร่วมกันในแผนเผชิญเหตุในปี 2509 อันทำให้แผนนี้ที่ทำขึ้นในปี 2507 มีสถานะเป็นพันธะด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการที่สหรัฐจะต้องป้องกันประเทศไทย
หรือแผนนี้ในทางทหารก็คือ “แผนป้องกันประเทศ” ของรัฐบาลจอมพลถนอม
และหากเกิดสถานการณ์สงครามขึ้น แผนนี้อนุญาตให้สหรัฐนำเอากำลังรบเข้ามาในไทยได้ทันที
ผลในทางกลับกันก็คือ ผู้นำรัฐบาลทหารไทยได้นำประเทศเข้าไปผูกมัดกับยุทธศาสตร์ของรัฐมหาอำนาจใหญ่ด้วยความเชื่อว่า สหรัฐจะเป็นผู้ปกป้องไทยให้พ้นจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์
และขณะเดียวกันก็แลกด้วยการอนุญาตให้สหรัฐเข้ามาใช้ฐานทัพในไทยเพื่อภารกิจการสงครามในอินโดจีน
ในการนี้สหรัฐได้ใช้ฐานทัพอากาศในไทยถึง 7 แห่งเพื่อการโจมตีต่อเป้าหมายในอินโดจีน ได้แก่ ดอนเมือง อุดรฯ อุบลฯ โคราช นครพนม ตาคลี และอู่ตะเภา (ดอนเมืองใช้เป็นฐานสำหรับการป้องกันทางอากาศที่สหรัฐมีต่อไทย)
และสร้างต่อมาในภายหลังเป็นแห่งที่ 8 ที่น้ำพอง สภาวะเช่นนี้ทำให้ไทยถูกเปรียบเป็นดัง “เรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่มีวันจม” สำหรับปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้คือภาพสะท้อนของการแสวงหาความมั่นคงของผู้นำทหารไทย สหรัฐในฐานะ “มหามิตร” จึงเป็นคำตอบหลักและคำตอบเดียวที่ชัดเจน อีกทั้งความผูกพันเช่นนี้เป็นความมั่นใจว่าสหรัฐจะไม่ทอดทิ้งไทย
และตราบเท่าที่สหรัฐไม่ทิ้งไทย… ไทยจะไม่เป็นคอมมิวนิสต์
ดังนั้น การพ่ายแพ้ของสหรัฐในเวียดนาม และการถอนตัวจากพันธะความมั่นคงหลังการสิ้นสงคราม จึงเป็นดังการ “เขย่าประสาท” ของผู้นำไทยเป็นอย่างยิ่ง
เพราะถ้าสหรัฐแพ้ แล้วไทยจะแพ้ด้วยหรือไม่!