นงนุช สิงหเดชะ : ‘ทักษิณ’ กับ ‘เรื่องเล่า’ (ประวิตร)มาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.

บทความพิเศษ / นงนุช สิงหเดชะ

‘ทักษิณ’ กับ ‘เรื่องเล่า’

(ประวิตร)มาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.

 

โพสต์ของคุณทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ในโอกาสครบ 12 ปีรัฐประหาร “เรียกแขก” ได้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ชนิดไม่เคยทำให้ผิดหวัง

กล่าวได้ว่าเป็นโพสต์ยาวที่สุดของคุณทักษิณในปีนี้เลยก็ว่าได้ เนื้อหาหลักก็คือมุ่งโจมตีการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง คือปี 2549 และปี 2557

โดยมีการตั้งคำถามว่ารัฐประหารผ่านมา 12 ปี ประเทศมีอะไรดีขึ้นหรือไม่ ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ สาธารณสุข ฯลฯ

ก่อนจะตบท้ายว่า ขออโหสิกรรมให้ทุกคนที่รังแกตน เพื่อให้ประเทศเดินหน้า

นักข่าวนำเรื่องนี้ไปถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตรตอบว่า บ้านเมืองยุ่งทุกวันนี้เพราะใคร เขา (ทักษิณ) มีเรื่องที่ทำผิดกฎหมายอยู่ ขอให้ไปเคลียร์คดีตรงนั้นก่อน

ต่อมาคุณทักษิณได้โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย กระแหนะกระแหน พล.อ.ประวิตรว่า “ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.เลย”

พล.อ.ประวิตรไม่ตอบโต้เรื่องนี้ กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องที่คุณทักษิณพูดไปเอง แต่โลกโซเชียลมีการขุดภาพเก่าของคุณทักษิณที่มีท่าทางพินอบพิเทาต่อ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หรือบิ๊กจ๊อด หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อต้นปี 2534 มาย้อนเกล็ดคุณทักษิณ พร้อมกับตั้งคำถามว่าคุณทักษิณก็ไปสยบต่อท็อปบู๊ตเพื่อจะได้สัมปทานดาวเทียมไทยคมเช่นกัน ใช่หรือไม่

ฝ่ายที่เข้าข้างคุณทักษิณ พยายามแก้ต่างว่า คุณทักษิณประมูลชนะโครงการดาวเทียมตั้งแต่ปลายปี 2533 หรือก่อน รสช.จะทำการรัฐประหาร ดังนั้น คุณทักษิณจึงไม่ได้ไปขอสัมปทานจาก รสช.แต่อย่างใด

ดังนั้น การที่ฝ่ายตรงข้ามอ้างว่าคุณทักษิณไปเกาะขา รสช.เพื่อจะได้สัมปทาน จึงเป็นเพียง “เรื่องเล่า” ที่ไม่ตรงกับความจริง

ส่วนบางคนก็อ้างเหตุผลเดียวกัน คือชนะประมูลก่อนรัฐประหาร แต่เมื่อมีการรัฐประหาร คุณทักษิณจำเป็นต้องเข้าหาผู้มีอำนาจเพื่อเป็นหลักประกันว่างานที่ตัวเองชนะประมูลมาจะได้รับการเซ็นสัญญา จึงเป็นเรื่องน่าเห็นใจคุณทักษิณ

(คือไม่ยอมรับว่าคุณทักษิณต้องพึ่งใบบุญคณะรัฐประหาร)

 

แต่ไม่ว่าจะพยายามใช้คำพูดพลิกแพลงอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การเซ็นสัญญาสัมปทานดาวเทียมไทยคมระหว่างบริษัทของคุณทักษิณกับกระทรวงการคมนาคม เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2534 ในรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นรัฐบาลภายใต้คณะรัฐประหารนั่นเอง

ฝ่ายสนับสนุนคุณทักษิณพยายามใช้คำว่า “เรื่องเล่า” เพื่อตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ในประเด็นที่หาว่าคุณทักษิณก็สยบยอมต่อท็อปบู๊ต ซึ่งคำว่า “เรื่องเล่า” นั้นตั้งใจจะสื่อว่าเป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ โคมลอย เป็นการใส่ร้ายคุณทักษิณ

แต่ก็น่าสงสัยว่าทำไมเมื่อเป็นกรณีที่คุณทักษิณอ้างว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเกาะโต๊ะเพื่อขอให้คุณทักษิณแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ฝ่ายที่เข้าข้างคุณทักษิณจึงไม่คิดว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่ดูคล้ายจะเป็นเรื่องจริงหรือเชื่อถือได้

ทั้งที่ว่าไปแล้วเรื่องเกาะโต๊ะนี้ มีเพียงคุณทักษิณกับ พล.อ.ประวิตรเท่านั้นที่รู้ ซึ่งประเด็นนี้ พล.อ.ประวิตรไม่ได้ออกมาตอบโต้อะไร

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้คือคุณทักษิณพูดอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งจะพูดอย่างไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองดูดี และให้คนอื่นดูแย่

 

หากคิดอย่างเป็นกลาง สิ่งที่คุณทักษิณพูด อาจทั้งเชื่อถือได้และไม่ได้ แต่ที่ชัดเจนประการหนึ่งก็คือแรงจูงใจการพูดเช่นนั้นของคุณทักษิณเกิดจากความแค้นหรืออยากเอาคืน เพราะตอนนี้ถือว่า พล.อ.ประวิตรอยู่คนละฝ่ายกับตัวเอง

การพูดแบบนั้นของคุณทักษิณ อาจทำให้คุณทักษิณเอง หรือฝ่ายที่ชอบคุณทักษิณ รู้สึกสะอกสะใจ

แต่ถ้าทบทวนให้ดี แบบนี้ไม่ใช่นิสัยสุภาพบุรุษที่น่าชื่นชมแต่ประการใด และสุดท้ายแล้วไม่อยากมีใครคบด้วย

เชื่อว่ามีหลายคนที่เคยร่วมงานกับคุณทักษิณ และตอนนี้ไม่ได้อยู่กับคุณทักษิณแล้ว ถ้าเขาเหล่านั้นอยากทำแบบคุณทักษิณ เชื่อว่าพวกเขาก็คงมีเรื่องแฉคุณทักษิณต่อสาธารณะให้เสียหายมากมายเช่นกัน กรณีนี้ก็เช่นกัน ถ้า พล.อ.ประวิตรอยากแฉกลับคุณทักษิณบ้าง ก็คงมีเรื่องแฉได้มันกว่านี้

เรื่องเกาะโต๊ะนี้ ว่าไปแล้วไม่ได้มีผลดีต่อคุณทักษิณเลย เพราะสังคมจะถามกลับว่า เป็นถึงนายกรัฐมนตรี ทำไมเวลาจะแต่งตั้งใครในตำแหน่งใหญ่ๆ ถึงให้กันง่ายๆ ไม่ดูความรู้ความสามารถ แค่มาเกาะโต๊ะขอก็ให้แล้วหรือ แล้วอย่างนี้การทำงานของรัฐบาลจะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร

คุณทักษิณพูดคล้ายๆ ว่า จำใจแต่งตั้งคุณประวิตรเป็น ผบ.ทบ. เพราะมาเกาะโต๊ะขอ

แต่เซียนธุรกิจ ซึ่งเก่งกาจเรื่องการคำนวณกำไร-ขาดทุน เป็นไปได้หรือที่จะแต่งตั้งใครเพียงเพราะมาเกาะโต๊ะ

รูปการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือคุณทักษิณคิดสะระตะแล้ว เห็นว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติของคุณทักษิณที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.อยู่ในขณะนั้น ฝีมือไม่น่าพอใจ โดยเฉพาะการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งน่าจะกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล

อีกประการหนึ่ง การแต่งตั้งญาติตัวเองเป็น ผบ.ทบ.ก็ดูน่าเกลียด ไม่เหมาะสม เต็มไปด้วยข้อครหา ยิ่งมาผนวกเข้ากับผลงานไม่เข้าตา ก็ทำให้คุณทักษิณต้องเปลี่ยนตัว โดยแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.ในเวลานั้น ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.แทน แล้วเลื่อน พล.อ.ชัยสิทธิ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ยิ่งไปกว่านั้น คุณทักษิณก็อาจหวังผลที่จะได้ใจคนในกองทัพ ไม่ให้เกิดความไม่พอใจหรือคลื่นใต้น้ำ เพื่อช่วยค้ำอำนาจให้รัฐบาล

สรุปก็คือ การแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็เป็นสิ่งที่คุณทักษิณได้ประโยชน์ด้วย

ข้างฝ่ายคุณชัยสิทธิ์เอง พอคุณทักษิณโพสต์เรื่องนี้ ก็รีบออกมารับลูก โดยเมื่อนักข่าวถามว่าจริงตามที่คุณทักษิณโพสต์หรือไม่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ตอบว่า “ถ้าพูดก็จริงอยู่แล้ว ผมโดนเลื่อยขาเก้าอี้ เขาก็มีปัญญาไปพบ ก็ไปขอ ช่วงนั้นผมก็มัวแต่ไปทำงาน”

การที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์เชื่อเช่นนั้น เป็นไปได้ว่า เมื่อต้องการย้าย พล.อ.ชัยสิทธิ์นั้น คุณทักษิณก็ต้องใช้ “ศิลปะการพูด” บางอย่างเพื่อถนอมรักษาน้ำใจ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ด้วยการอ้างว่า พล.อ.ประวิตรมาขอเป็น ผบ.ทบ.

ใครจะมาบอก พล.อ.ชัยสิทธิ์โต้งๆ ว่า “พี่ทำงานไม่ได้เรื่อง แก้ปัญหาภาคใต้ไม่ได้ ผมเลยขอย้ายพี่ แล้วให้คนอื่นมาเป็นแทน”