บทวิเคราะห์/ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย (สวรรค์น้อยน้อย…)

ในประเทศ

 

ใกล้เข้าไปอีกนิด

ชิดเข้าไปอีกหน่อย

(สวรรค์น้อยน้อย…)

 

แม้ทุกคนจะเชื่อ 100% พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี ไปต่อทางการเมืองแน่

กระนั้น คำว่า “การเมือง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นดูเหมือนจะมากด้วยลีลาและท่วงท่า

ที่สำคัญ พลิกผันไปมา ในท่ามกลางความเชื่อข้างต้น

เมื่อหลังปฏิวัติใหม่ๆ

นี่คือคำพูดจาก พล.อ.ประยุทธ์

“ผมไม่ได้มาจากการเมือง ไม่ใช่นักการเมือง ผมมาในช่วงวิกฤตด้วยวิธีพิเศษบวกปกติ” (24 กุมภาพันธ์ 2558)

ปลายปีเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า

“มีคนบอกว่าผมเป็นนักการเมืองแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่ ผมยังเป็นนักการทหาร เพียงแต่เข้ามาทำหน้าที่นักการเมืองบริหารงานของภาครัฐเท่านั้น”

และเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2560 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำว่า

“ผมไม่ได้มองหรือดีลการเมืองกับใคร เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมไม่ดีลกับใครทั้งนั้น”

แต่เมื่อต้นปี 2560 คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป

“วันนี้ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร

เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”

 

จะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์เริ่มยอมรับคำว่า “นักการเมือง”

และประกาศผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ระหว่างเดินทางเยือนยุโรปว่าจะแถลงถึง “อนาคตทางการเมือง” ให้ชัดเจนในเดือนกันยายน 2561

ทั้งนี้ อยู่ในเงื่อนไข หลังจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ส. และ ส.ว. ประกาศใช้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเดือนกันยายน และหลังประกาศ พ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังมีลีลาพลิ้วให้เห็นอีก

“จะมาสนใจอะไรกับผม ผมเคยบอกว่าเมื่อหลัง พ.ร.ป.ออกมา แล้วนี่หลังหรือยัง

หลังจากนี้ไปถึงปีหน้า มันก็หลังเหมือนกัน ผมจะพูดเมื่อไหร่ก็เรื่องของผม

วันนี้ยังไม่รู้ ผมตัดสินใจเอง แล้วเรื่องอะไรผมจะออกมาให้โดนด่าตั้งแต่วันนี้เล่า”

ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์จะ “ยืด” ท่าทีออกไปอีก

 

แต่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็มาสร้างความประหลาดใจเมื่อวันที่ 24 กันยายน เมื่อออกมากล่าวกับผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล ด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“สิ่งที่หลายๆ คนอยากให้ตนตอบเรื่องงานการเมือง

ตอบได้ว่าขณะนี้สนใจงานการเมือง

แต่จะตัดสินใจอย่างไร สนับสนุนใคร เป็นเรื่องอีกระยะหนึ่งซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

แต่วันนี้ผมสนใจการเมือง

เพราะสนใจในสิ่งที่ทำลงไปว่าไปถึงไหนอย่างไร วันข้างหน้าจะได้รับการสืบสานต่อไปหรือไม่

ผมจะติดตามรับฟังจากกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง นักการเมืองต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้

ฉะนั้น ผมขอใช้คำแรกนี้ได้ว่าผมสนใจงานการเมือง

เพราะผมรักประเทศชาติ

คงเป็นเช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งสื่อมวลชนด้วยก็ต้องรักประเทศไทย

ก็สุดแล้วแต่ประชาชนจะว่าอย่างไรในอนาคต ขอบคุณ สวัสดี”

 

ในวันรุ่งขึ้น พล.อ.ประยุทธ์มาขยายความเพิ่มเติมว่า

“คำที่ว่าสนใจงานการเมืองนั้น

อย่าไปตีความกันให้มากนักเลย

คำพูดที่พูดออกไปนั้นหมายความว่า สนใจว่ามันจะเดินหน้าไปอย่างไร มีความคืบหน้าอย่างไร

โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นห่วงและกังวลก็คือ

สิ่งที่ทำมาแล้ว การปฏิรูปขั้นที่ 1 เรื่องกฎระเบียบ กฎหมาย รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทที่จะทำ จะได้รับการดำเนินการอย่างต่อเนื่องหรือไม่

สนใจตรงนี้มากกว่า

ถ้าผมสนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมตรงนี้ จะเข้าไปได้อย่างไร จะมาด้วยกลไกอะไร จะต้องดูทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไรที่จะปฏิรูปให้ได้ ทั้งการปฏิรูปยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปการเมืองให้มีธรรมาภิบาล

สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ง่ายๆ ภายใน 1-2 วัน หรือ 1-2 ปี ผมไม่ได้สงวนไว้สำหรับผมเพียงอย่างเดียว ต้องมองว่าจะมีส่วนร่วมอย่างไรในการปฏิรูป…”

ส่วนจะไปสังกัดอยู่กับพรรคการเมืองใด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของอนาคต ยังไม่ได้ไปตรงไหนสักอันเลย

ถ้าจะพิจารณาต้องดูว่าจะต้องไปเป็นสมาชิกพรรคใดหรือไม่

และต้องพิจารณาว่าจะไปร่วมกับเขาได้แค่ไหน อย่างไร

และสมมติว่าจะไปเป็นนายกฯ จะมาได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องดูใหม่ทั้งหมด ต้องศึกษา เพราะไม่ใช่นักการเมืองมาก่อน จำเป็นต้องศึกษาว่ามันเป็นอย่างไร

ปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็น จะทำให้บ้านเมืองสงบได้มากน้อยแค่ไหน

ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชนที่จะต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร”

 

ลีลาและท่วงท่าที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกต่อการเล่นการเมืองของตนเองนั้น

ว่าไป เหมือนเพลงรำวง “ใกล้เข้าไปอีกนิด”

“ใกล้เข้าไปอีกนิด

ชิดชิดเข้าไปอีกหน่อย

สวรรค์น้อยน้อยอยู่ในวงฟ้อนรำ…”

คือค่อยๆ รุกคืบเข้าไป หลังจากครองอำนาจในฐานะคณะรัฐประหาร และนายกรัฐมนตรีจากการยึดอำนาจมาเกือบ 5 ปี

ท่ามกลางความรู้สึกที่แตกต่างกันไปของคนที่เฝ้ามอง

ด้านหนึ่งมองว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนักการเมืองยิ่งกว่านักการเมือง

คือมากด้วยชั้นเชิง พลิกพลิ้ว รุก บุก ถอย

รอจังหวะที่เป็นประโยชน์ที่สุด จึงจะปล่อยไต๋ออกมา

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ถูกมองว่า เป็นความไม่มั่นใจ กลัว

การเดินทางการเมือง จึงไม่มั่นคง เปลี่ยนไปมา

ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไร แต่นาทีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินหน้าไปสู่การเมืองค่อนตัวแล้ว

ซึ่งก็ท้าทายว่า จะเจอสวรรค์น้อยๆ หรือเจอในสิ่งที่ตรงกันข้าม ที่อยู่ใต้พิภพ

ที่จะต้อง ซ.ต.พ. “ซึ่งต้องพิสูจน์” กันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

ทั้งนี้ ชัดเจนว่า การเดินหน้าเข้าสู่การเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ คงพึ่งฐานพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นหลัก

โดยน่าสังเกตว่าหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงจุดยืนสนใจการเมือง รัฐมนตรีในปีกของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ขานรับและแสดงจุดยืนที่ร่วมเดินหน้าพรรค พปชร.

ไม่ว่านายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ที่จะเข้ามาบริหารพรรคและขับเคลื่อนนโยบายพรรค

โดยมีกลุ่มสามมิตร ประกอบด้วย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เดินเกมทางการเมือง

ซึ่งเฉพาะหน้า ก็คือการเชิญ ดึง ดูด นักการเมืองจากพรรคต่างๆ เข้าร่วม ซึ่งนับวันจะทวีความ “แรง” ขึ้นทุกที

โดยเฉพาะอดีต ส.ส.ในฟากภาคตะวันออก ไม่ว่าชลบุรี ระยอง จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ที่จะได้รับผลจากนโยบายตั้งพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี เข้ามาร่วมจากทั้งพรรคพลังชล ประชาธิปัตย์ อย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน

ขณะที่ในภูมิภาคต่างๆ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ก็ล้วนเป็นเป้าหมายถูกดูด

ซึ่งคงชัดเจนขึ้นหลังจากพรรค พปชร.ประชุมใหญ่ในวันที่ 29 กันยายนนี้

นอกจากนี้แล้ว กำลังมีการจับตามองการเคลื่อนไหวของกลุ่มนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งนอกจากก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่เดินสายดึงเอากลุ่ม กปปส. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาเป็นแนวร่วมแล้ว

ยังดูดเอา ส.ส.จากพรรคที่เคยสังกัดคือประชาธิปัตย์มาร่วมหลายคน

และที่กำลังถูกจับตามองขณะนี้คือ อยู่เบื้องหลังการสนับสนุน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ชิงหัวหน้าพรรคจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือไม่

ซึ่งแม้นายสุเทพปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวแล้ว

แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถสยบข่าวที่สะพัด “แรง” ว่า คสช.อาจจะใช้ รปช. เข้าไปมีอิทธิพลเหนือประชาธิปัตย์ ด้วยการโค่นนายอภิสิทธิ์ลง แล้วให้ นพ.วรงค์คุมพรรคแทน

หากทำสำเร็จ โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะมาเป็นพันธมิตรกับ คสช.ก็สูงยิ่งขึ้น

ซึ่งนั่นจะทำให้สูตรรวมพรรคเพื่อตั้งรัฐบาลโดยมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำต่อไป ง่ายขึ้น

การต่อสู้ชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นไปอย่างดุเดือดขณะนี้

 

การเปิดแนวรบทุกด้านของแนวร่วม คสช.

รวมถึงท่าทีที่ชัดเจนขึ้นของ พล.อ.ประยุทธ์

ทำให้เพลงรำวงอย่าง “ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดชิดเข้าไปอีกหน่อย”

ถูกนำมาเปิดคลอกับลีลาของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะสามารถเข้าใกล้ชิดหรือครองอำนาจรอบที่ 2 ได้หรือไม่

และที่สำคัญ จะเจอ “สวรรค์”

หรือเจอในสิ่งตรงกันข้าม

นั่นคือ นรก

เพราะการเลือกตั้ง แม้จะมีอำนาจหรือปืนอยู่ในมือ แต่ก็คงไม่สามารถบีบบังคับใครได้

ประชาชนจะเป็นผู้ชี้ขาดอย่างระทึกใจ ว่าใครจะสมควรมาเป็นตัวแทนปกครองประเทศแทนตนเอง