ปกป้อง “สถาบัน” ภารกิจสำคัญของ “คสช.” “ผบ.ทบ.” ลงพื้นที่ใต้ เน้นการข่าว “พลังเงียบ เฉียบขาด”

ตลอด 2 สัปดาห์ที่คนไทยต่างโศกเศร้าต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอุลยเดช แต่ด้วยน้ำใจไมตรีจิตที่คนไทยยื่นให้กัน จึงเกิดภาพคนไทยที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ประคับประคองกัน และช่วยกันสานต่อพระราชปณิธานที่ต้องการเห็นประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้า

นี่จึงเป็นห้วงเวลาที่คนไทยเริ่มมีพลังกายและใจอีกครั้ง

“ประเทศเราก็หยุดไม่ได้ แต่ความเสียใจก็ห้ามไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าว

ถือเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลยุค คสช. ที่ต้องดำเนินงานพระราชพิธีให้สมพระเกียรติ การดูแลประชาชนที่เดินทางมาร่วมลงนามแสดงความอาลัย และเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ที่พระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป ต้องมีความเรียบร้อย

 

คสช. ได้มอบหมายให้กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ดูแลหลักในพื้นที่สนามหลวง รอบพระบรมมหาราชวัง และพื้นที่รอยต่อทั้งหมด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่เดินทางเข้ามาเฉลี่ย 4-5 หมื่นคนต่อวัน และมากสุดในวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคมผ่านมา เพื่อร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีร่วมกัน กว่า 177,000 คน

โดย พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้มอบหมายภารกิจนี้ให้รองแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้ง 3 คน โดยให้ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ดูแลงานโดยภาพรวม พล.ต.ธรรมนูญ วิถี ดูแลงานด้านการจราจรและการรักษาความปลอดภัย พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ ดูแลงานช่วยเหลือประชาชน

“รองแม่ทัพภาคที่ 1” ต่างลงพื้นที่ด้วยตนเองหมด ตั้งแต่มีการตั้งกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย (กอร.รส.) ที่ใจกลางสนามหลวง เพื่อบริหารจัดการงานกับทุกหน่วยงาน พร้อมประสานกับศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล

คสช. ได้สั่งให้มีการจัดกำลังของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) จำนวน 50 กองร้อย ปฏิบัติหน้าที่ในกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย โดยรอบพระบรมมหาราชวังและสนามหลวง ขณะเดียวกัน ยังให้เตรียมกำลังทหาร 150 กองร้อย ไว้ผลัดเปลี่ยนและเสริมกำลังเพิ่มเติม รวมประมาณ 30,000 นาย ตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะเดียวกัน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ได้สั่งการให้หน่วยทหารช่างจากกองพันทหารช่างที่ 2 รักษาพระองค์ จำนวน 45 นาย จัดสร้างสะพานแบรี่ M2 รับน้ำหนักได้ 20 ตัน เพื่อให้ประชาชนที่เดินมาจาก ถ.ราชดำเนิน โรงแรมรัตนโกสินทร์ สามารถข้ามคลองหลอด มายังบริเวณสนามหลวงได้สะดวกขึ้น

 

สําหรับงานด้านความมั่นคงนั้น ไม่สามารถหยุดได้ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตและเสถียรภาพของประเทศ ภาครัฐจึงเฝ้าระวังผ่านกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) โดยมีกองทัพภาคต่างๆ เป็นกลไกสำคัญ

อีกทั้ง พล.อ.เฉลิมชัย ในฐานะ ผบ.กกล.รส. ได้กำชับ กกล.รส. ให้ชี้แจงประชาชน ไม่ให้หลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อ จากการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จผ่านโซเชียลมีเดียและข่าวลือต่างๆ

ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ด้านการข่าว ได้ปูพรมลงทุกพื้นที่ด้วยการแจ้งเตือนเหตุด้านความมั่นคงตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมจับกุมผู้ต้องสงสัยได้หลายราย ซึ่งให้ข้อมูลที่มีความเชื่อมโยงกับการก่อความไม่สงบ

และเบื้องต้นพบว่าเตรียมประกอบไปป์บอมบ์ก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยผู้ต้องสงสัยที่จับกุมได้มีภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้

สอดคล้องกับที่ พล.อ.เฉลิมชัย ได้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกำชับนโยบาย 7 ข้อ เน้นปรับปฏิบัติการด้านการข่าว จัดให้มีการบูรณาการฐานข้อมูลด้านการข่าวร่วมกัน และการจัดตั้งแหล่งข่าวภาคประชาชน

ยิ่งเมื่อ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งทำงานด้านการข่าวในพื้นที่มากว่า 20 ปี เป็นนายทหารสายรบพิเศษ เหมือนกับ “บิ๊กเจี๊ยบ”

จึงต้องจับตากันว่า จากนี้ไปสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นอย่างไร ในยุค “งานข่าวเพื่อป้องกัน” เป็นหัวใจหลัก

และเพราะงานด้านการข่าวนี้เอง จึงสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยที่คิดจะก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้

 

ที่สำคัญการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.อ.เฉลิมชัย ได้พักค้างคืนและตรวจพื้นที่ จ.ปัตตานี เยี่ยมด่านตรวจถาวร จุดตรวจปัตตานีคอนกรีต จุดตรวจพญาเมือง จุดตรวจพูลสวัสดิ์

ทั้งหมดคืองานนอกกำหนดการเดิม ที่ระบุว่าเมื่อประชุมเสร็จและจะกลับกรุงเทพฯ เลย

เรียกว่า “ได้ใจคนทำงาน” เลยทีเดียว

ขณะลงพื้นที่ ผบ.ทบ. ได้พบกับทหาร ทหารพรานหญิง อาสาสมัคร และตำรวจ โดยกำชับให้ปฏิบัติงานอย่างรอบคอบและปลอดภัย พร้อมสั่งการให้พัฒนาศักยภาพทหารพรานที่เป็นอาสาสมัคร ให้สามารถปฏิบัติงานด้านการข่าวและงานกิจการพลเรือนได้ด้วย

นอกจากนั้น พล.อ.เฉลิมชัย พร้อม พล.อ.ธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ยังได้เดินทางไปสักการะหลวงปู่ทวด วัดราษฎร์บูรณะ (ช้างให้) จ.ปัตตานี

ที่สำคัญ ทั้ง 3 คน ล้วนเป็นนายทหารสายรบพิเศษ จาก ตท.16 ทั้งสิ้น

การพักค้างคืนของ พล.อ.เฉลิมชัย ไม่ใช่ได้ใจแค่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเท่านั้น เมื่อประชาชนในพื้นที่ทราบข่าว ก็ชื่นชมที่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาพักค้างคืนในชายแดนใต้

การลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ครั้งแรกของ พล.อ.เฉลิมชัย หลังขึ้นเป็น ผบ.ทบ. และทีมงาน จึงถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ และเมื่อมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเตรียมก่อเหตุใน กทม. ได้

ม็อตโต้การปฏิบัติงานแบบ “พลังเงียบ เฉียบขาด” ของรบพิเศษ ก็เริ่มถูกจับตา

 

ดูเหมือนนายกรัฐมนตรีก็ใช้แนวทางนี้เช่นกัน ด้วยการลงตรวจสนามหลวง โดยไม่แจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้า เพื่อเห็นภาพรวมและสั่งการด้วยตนเอง โดยขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชน โดยเฉพาะเด็ก คนชรา คนพิการ และแก้ปัญหาคนหาย พร้อมขอบคุณทุกคน และขอให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน

ในส่วนของงานภาพรวมประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยืนยันว่า โรดแม็ปของ คสช. ยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่เปลี่ยนแปลง และอย่ากังวลเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ เพราะจะดำเนินไปตามรัฐธรรมนูญ

“วันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนตามโรดแม็ปทุกประการ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ขอความร่วมมือว่าอะไรที่จะทำให้เกิดปัญหาล่าช้า ขอร้องอย่าเพิ่งกระทำกันเลย ขอให้เห็นกับประเทศชาติก่อน ดังนั้น การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเรื่องกฎหมายของรัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้งยังเป็นไปตามโรดแม็ปเดิม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ด้วยความชัดเจนของโรดแม็ป คสช. และการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้คนไทยเริ่มคลายจากความโศกเศร้า และพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน เพื่อสานต่อพระราชปณิธาน

“ขอให้ทุกคนนึกอยู่เสมอว่าพระองค์ท่านไม่ได้จากพวกเราไปไหน แต่พระองค์ท่านยังอยู่ ในพื้นดิน น้ำ และอากาศ ทุกๆ อย่างที่พระองค์ท่านได้ทำไว้เพื่อเรา พวกเราทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ภารกิจหลักของ คสช. และคนไทยทุกคน คือ การช่วยกันปกป้องสถาบัน ให้อยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป

“เราต้องทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้มแข็งในยุคเรา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว