โลกหมุนเร็ว / เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/ลำไย ลองกอง หวานๆ จ้า

โลกหมุนเร็ว / เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง [email protected]

 

ลำไย ลองกอง หวานๆ จ้า

 

เสียงหวานๆ ของป้าไหวลอยมาที่หน้าบ้านขณะเธอเข็นรถผลไม้ผ่านไปแต่เช้า

ทุกๆ เช้าป้าไหวจะเข็นรถผลไม้ที่มีขายเพียงสองอย่างตามฤดูกาล เหมือนจะกำหนดให้ลูกค้าขาประจำไม่ต้องเลือกมาก หรือตัดสินใจนาน

อย่างตอนนี้เธอก็เหมือนจะบังคับกลายๆ ไม่ให้ทุกคนเรื่องมาก กินลำไยกับลองกองไปเพราะมันเป็นฤดูของผลไม้ทั้งสองชนิดนี้

ป้าไหวซื้อผลไม้จากตลาดมหานาค และเธอไม่ขายผลไม้ผลใหญ่อย่างสับปะรดและแตงโม เพราะเธอเข็นรถหนักๆ ไม่ไหว ผลไม้ที่คนกินน้อยเธอก็ไม่เอามาขาย เพราะเธออยากกลับบ้านพร้อมรถที่ว่างเปล่า ผู้เขียนซื้อผลไม้ของเธอใส่บาตรเป็นประจำเพราะมีนโยบายไม่ใส่ของหวานพวกทองหยิบ ฝอยทองให้พระเด็ดขาดเพราะเคยทราบมาว่าพระสงฆ์เป็นเบาหวานกันมาก

ป้าไหวเลือกเอาแต่ผลไม้คุณภาพดีมาขาย ธุรกิจของเธอจึงไปได้ดี

 

แต่ก่อนนี้ก็ไม่เคยรู้ว่าตลาดมหานาคที่ป้าไหวตื่นแต่เช้าไปเอาผลไม้มาขายหน้าตาเป็นอย่างไร ขายอะไรกันบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่ง…ต้องเรียกว่าคืนหนึ่งถึงจะถูก

เราสามสหายหญิงล้วนกลับจากไปดูดนตรีของอาจารย์สุกรีที่ศาลายา ขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ในเวลาฝนพรำ และมันเป็นเวลาราวสามทุ่ม

เมื่อเราผ่านแถวหลานหลวงเพื่อจะขึ้นสะพานยมราช ชะรอยฝนตกทัศนวิสัยไม่ดีจึงขับผ่าเข้าไปในตลาดมหานาค

นี่มันอะไร ที่ไหนกันนี่

ผลไม้มากมายเต็มแผงลอยสองข้างทางไปหมด

ยิ่งขับลึกเข้าไปถนนก็ยิ่งแคบ ตอนนั้นไม่ได้สนใจผลไม้ คิดแต่ว่าจะหลุดออกมาจากที่แคบได้อย่างไร

ครั้นพอตั้งหลักได้ตาก็เริ่มสอดส่าย

ช่วงนั้นกำลังชอบกินมะม่วงน้ำปลาหวาน ตาจึงมองมะม่วง กะดูมะม่วงหน้าตาดีลูกเขื่องกองใหญ่บนแผงลอย ไฟก็สลัว พื้นก็แฉะ แต่ตามองเห็นเขียนว่ากิโลละ 15 บาท ท่าทางเป็นมะม่วงใหม่สด พอคนขายบอกว่าขายปลีกด้วย ก็หิ้วมะม่วง 2 กิโล จ่ายไป 30 บาทขึ้นรถมาแจกกันด้วยความยินดี

อันว่ามะม่วงที่ซื้อมานี้เป็นมะม่วงมันเดือนเก้า ที่เมื่อสองวันก่อนเพิ่งให้แม่บ้านไปซื้อจากตลาดกิโลละ 40

จึงรู้ว่าป้าไหวก็ทำกำไรได้ดีทีเดียวจากการเป็นแม่ค้าผลไม้

ดีใจกับป้าไหวนะ

 

ตลาดมหานาคเรียกได้ว่าเป็นที่พึ่งของแม่ค้าพ่อค้าผลไม้ที่ทำมาหากินอยู่ทุกวันนี้ ทั้งคนขายผลไม้แบบป้าไหว และคนขายผลไม้รถเข็นที่ต้องใช้แรงงานปอก หั่น ใส่ถุงนั่นด้วย

ตลาดมหานาคตอนนี้ยังอยู่ในมือคนไทย ถือได้ว่าเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญของระบบค้าขายผลไม้จากสวนถึงมือผู้บริโภค

นอกจากตลาดมหานาคแล้วก็ยังมีตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง หนึ่งในนั้นอยู่ในมือของตระกูลภัทรประสิทธิ์ ก็แปลว่ายังอยู่ในมือคนไทย แต่ข้างๆ ตลาดไทยก็มีคนจีนมาสร้างธุรกิจแข่งใหญ่โต ไม่ทราบว่ามีส่วนแบ่งตลาดเท่าไหร่

แม่ค้าบางคนเลือกซื้อผลไม้ที่ส่งตรงจากแหล่งผลิตด้วยรถทัวร์ ลองกองที่ส่งมาแบบนี้ขายกิโลละ 50 บาท ในขณะที่ของป้าไหวขายกิโลละ 60 บาท เพราะผ่านมือมาหลายต่อ

ถ้าหากใครคิดจะซื้อลองกองไปเลี้ยงพระก็ต้องเลือกเจ้าที่โลละ 50 นี่นะคะ

 

ระบบเครือข่ายการค้าขายผลไม้ในประเทศเป็นอะไรที่น่าศึกษา ก็ยังไม่เห็นใครสนใจจะศึกษากันนะคะ เปิดดูข้อมูลแล้วมีแต่ข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้ส่งออก ซึ่งมีมูลค่าถึงแสนล้านบาทแล้วในปัจจุบัน

ตัวเลขการขายในประเทศมาจากการขายของแม่ค้าพ่อค้ารายย่อยประเภทเอสเอ็มอี การเก็บตัวเลขก็คงยุ่งยาก

ชาวสวนผลไม้ที่มีรายได้ดีก็มี แต่ที่รายได้ไม่ดีเพราะผลไม้มีราคาผันผวนก็มี พบข้อมูลกระทรวงเกษตรฯ ปี 2559 มีครัวเรือนทั่วประเทศปลูกลองกองประมาณ 160,000 กว่าครัวเรือน ชาวสวนเมืองฉะเชิงเทรา สระแก้ว ปราจีนบุรี จันทบุรี และระยอง จันท์ขายลองกองได้ราคาสูงจาก 36-46 บาท มีเกษตรกรปลูกลองกอง 42 จังหวัดทั่วประเทศ บางจังหวัดราคาด้อยกว่า โดยเฉลี่ยราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 29 บาท

ส่วนในปี 2560 รายงานจากกรมเศรษฐกิจการเกษตร พูดถึงการผลิตในจังหวัดภาคตะวันออก สำหรับผลไม้ 4 ชนิด ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.84 เนื้อที่การผลิตเพิ่มขึ้น และมีผลผลิตรวม 786,116 ตัน

ชาวโลกบริโภคผลไม้ไทยกันโครมๆ ชาวสวนผลไม้ไทยก็ควรจะกินดีอยู่ดีกัน ไม่ใช่ชาวสวนหลังขดหลังแข็ง แบกต้นทุนการผลิตมากมาย บางปีได้ บางปีขาดทุน แล้วมาให้พ่อค้าคนกลางต่างชาติรวยคนเดียว

อันว่าพ่อค้าคนกลางนั้นมีแต่ได้กับได้ เพราะผลไม้เสียหายก็ไม่รับซื้อ ไม่มีต้นทุนเหมือนคนปลูก

 

สิ่งที่น่าหวาดกลัวก็คือ ในปัจจุบันผลไม้ไทยเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ

ยอดส่งออกผลไม้ไทยพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี

ข่าวจีนมากว้านซื้อทุเรียนถึงขนาดลงทุนสร้างล้งรับซื้อทุเรียนตรงจากสวนก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างยิ่ง

จะเป็นไปได้ไหมที่อีกหน่อยคนจีนจะไปรับซื้อผลไม้นานาชนิดจากสวนแล้วส่งขายให้พ่อค้าที่ตลาดมหานาค หรือไม่ก็ผูกขาดตั้งแผงขายให้ป้าไหวเสียเอง

ป้าไหวนั้นคือค้าปลีกระดับรากหญ้า หรือจะเรียกว่าหาเช้ากินค่ำก็ได้

ถ้าหากมีพ่อค้าต่างชาติเข้ามาแทรกแซงในระบบซัพพลายเชน แล้วต้องขายขึ้นราคาเป็นลองกองโลละ 65-70 บาท เธอก็อาจขายได้น้อยลง

หรือผู้บริโภคก็ต้องจำใจบริโภคลองกองแพงขึ้น

ก็เป็นอันเดือดร้อนแน่นอน