รายงาน : อวสาน 102 ปี สนามม้านางเลิ้ง ถิ่นคนมีสี ฐานการเมือง เปิดแผน “เยียวยาวงการม้า”

อีกตำนานกลางกรุง อย่างราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สนามม้านางเลิ้ง” ได้ปิดตำนานไปแล้วเมื่อ 16 กันยายน 2561

หลังครบ 102 ปี สิ้นสุดสัญญาเช่ากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และต้องส่งมอบพื้นที่คืนวันที่ 4 ตุลาคมนี้

แน่นอนว่าบุคคลที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่หนีไม่พ้น “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ รองประธานคณะกรรมการราชตฤณมัยสมาคมฯ ที่อยู่กับสนามม้านางเลิ้งมากว่า 30 ปี จนเรียกว่าบ้านหลังที่ 2 กล่าวด้วยความ “ใจหาย” ที่วันนี้ก็มาถึง

“ไม่ใช่เฉพาะผมที่ใจหาย ทุกคนที่เป็นแฟนคลับสนามม้าราชตฤณมัยสมาคมฯ ก็ใจหายทุกคน แต่จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ใจหายอย่างเดียว วันนี้คนเก่าคนแก่ก็กลับมาเยอะ”

เสธ.อ้ายกล่าว

ที่ผ่านมา สนามม้านางเลิ้งถูกใช้เป็นพื้นที่ทางการเมืองมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ยุคปี 2500 กว่าๆ

โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่าง พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา พล.อ.สุรสิทธิ์ จารุเศรณี พล.อ.โชติ หิรัณยัษฐิติ เข้ามาดูแลสนามม้านางเลิ้ง

ยุคต่อมาคือ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ สมัยยศพันโท โดยเป็นนายทหารคนสนิทของ “เสธ.หลาด” พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ที่เข้ามาดูแลสนามม้านางเลิ้งช่วงปี 2518 ซึ่งว่ากันว่า สนามม้าแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่วางแผนการยึดอำนาจ 26 มีนาคม 2520 จึงเป็นที่มาของที่มา “กบฏ 26 มีนา” ด้วย

จากนั้น พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รมต.ประจำสำนักนายกฯ รัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้เข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการแข่งม้าด้วย

ซึ่ง พล.อ.ยศ คือบิดาของ “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่มาเป็นเลขาธิการราชตฤณมัยสมาคมฯ คนปัจจุบัน แทน “เสธ.อ้าย”

จากนั้นกลุ่ม “กบฏ 26 มีนา” ได้รับการนิรโทษกรรม จึงมีการนำทั้ง “เสธ.หนั่น-เสธ.อ้าย” ที่ทั้งสองต่างเป็นเพื่อนรัก เข้ามาเป็นกรรมการแข่งม้าด้วย

แต่ที่ทำให้ภาพ “เสธ.อ้าย” เป็นที่จดจำของสังคม มาในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ได้ตั้งองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ขึ้น เพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และต้องการจะ “แช่แข็งประเทศ” 5 ปี เพื่อเลือกคนดีและคนเก่งมาบริหารบ้านเมือง โดยตั้งคณะบุคคลมาคัดเลือกและทำงานแทน พร้อมงดการเลือกตั้งไปก่อน

ซึ่งข้อเสนอนี้เป็นอันตกไป หลังองค์การพิทักษ์สยามต้องยุติบทบาทลง หลังตั้งมาได้แค่ 1 เดือน เพราะจุดไม่ติด คนมาชุมนุมไม่ถึงล้านคนตามเป้า

จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่ “สนามม้านางเลิ้ง” ปลอดการเมือง

อีกทั้ง “สนามม้านางเลิ้ง” ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นของคนมีสี ผู้มีอิทธิพล หรือ “ทหารมาเฟีย” เพราะมีการเปิด “โต๊ดเถื่อน” ขึ้น แม้สนามม้านางเลิ้งจะเป็นพื้นที่เฉพาะ ที่ให้มีการเล่นการพนันที่ถูกกฎหมายได้ เพราะต้องเสียภาษีส่งรัฐ อีกทั้งรายได้ก็ต้องนำไปสนับสนุนมูลนิธิหรือองค์กรสาธารณกุศลต่างๆ ด้วย และห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้ามา

ทว่า กลับว่ากันว่ายากที่อำนาจของรัฐจะเข้ามาจัดการ ซึ่งก็มีความพยายามที่จะปราบมาตลอด อีกทั้งมี “หนี้ก้อนใหญ่” ที่ต้องจัดการ หลังขาดทุนสะสมมานาน

“ไม่มีหรอก ไม่มีอิทธิพลหรือคนมีสี คือมันเหมือนวัฒนธรรม หลังจากปี 2500 เศษ ทางทหารก็เข้ามาดูแล มันก็เลยเป็นวัฒนธรรมมาเรื่อย ทหารเก่าออกไป ทหารใหม่ก็เข้ามา” เสธ.อ้ายชี้แจง

จนมาถึงยุคปัจจุบัน หลัง พล.อ.วิชญ์ขึ้นเป็นเลขาธิการราชตฤณมัยสมาคมฯ โดยมี “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตที่ปรึกษา ทบ. หนึ่งในกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เสนอชื่อ พล.อ.วิชญ์ขึ้นชิง ทำให้ “เสธ.อ้าย” ไปเป็นรองประธานราชตฤณมัยฯ แทน และตั้ง “บิ๊กตุ๊ด” พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตรอง ผบ.ทบ. เพื่อน ตท.1 กับ “เสธ.อ้าย” ขึ้นเป็นประธานแทน

อีกทั้งยังได้ “รองโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ท่องเที่ยว มาปราบโต๊ดเถื่อนและมาเฟียในสนามม้าด้วย

โดย พล.อ.วิชญ์ยังเป็นผู้ช่วยเหรัญญิก คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ – กรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ก็ต่างเป็นคนใกล้ชิดหรือน้องเลิฟของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ซึ่งมาดูแลสนามม้าในช่วงที่ พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ด้วย

จึงทำให้มีการมองเป็นการแผ่ขยาย “ฐานอำนาจ” ของ “บิ๊กป้อม” หรือไม่?

“พื้นที่สนามม้า ไม่ใช่ฐานอำนาจใหม่ของบิ๊กป้อม ขอยืนยันว่า พล.อ.ประวิตรไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งสนามม้ามีมานานแล้ว และผมก็เข้ามา โดยทำงานมาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ แต่การดำเนินการอาจจะมีการปรึกษาท่านบ้าง เช่น กรณีการออกระเบียบใหม่ของกระทรวงมหาดไทย ท่านก็มาช่วยเหลือ เพื่อให้การแข่งม้าอยู่ต่อ” พล.อ.วิชญ์แจง

“ผมทำงานตรงนี้มาหลายปีแล้ว ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก เมื่อถึงจุดหนึ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามเวลา เราต้องยอมรับ สิ่งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ ผมอยู่มาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ (พล.อ.ยศ) เดินตามพ่อมาตลอด ตั้งแต่สิ่งที่พ่อทำไว้ ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้” พล.อ.วิชญ์ชี้แจงเพิ่ม

ในเบื้องต้น คณะกรรมการราชตฤณมัยสมาคมฯ ได้มีแนวทางเยียวยาและช่วยเหลือ “วงการแข่งม้า” โดย พล.อ.วิชญ์ระบุว่า กระทรวงมหาดไทยกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาแก้ไขออกระเบียบใหม่ ให้มีการแข่งขันที่สนามราชกรีฑาสโมสร (สนามฝรั่ง) ทั้ง 4 นัด ให้ครบ 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นทางราชกรีฑาจะรับไปดำเนินการต่อ ในการอนุญาตให้สมาชิกเข้าไปเล่นในสนามฝรั่ง เพราะมีคนอยู่ในอาชีพนี้ถึง 2 แสนคน เมื่อปิดสนามม้านางเลิ้งจะเหลือการแข่งขันที่สนามฝรั่งแค่ 2 ครั้งต่อ 1 เดือน ทำให้รายได้ก็จะลดไปครึ่งหนึ่งด้วย

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการราชตฤณมัยฯ จะมีการประชุมในวันที่ 22 กันยายนนี้ โดยมี “บิ๊กตุ๊ด” นำประชุม ซึ่งจะเป็นจุดชี้ชะตาว่าจะไปต่อหรือจบเพียงเท่านี้

โดยมีกระแสข่าวว่าอาจไปใช้พื้นที่ จ.นครราชสีมา แทน และกระแสว่า “เสธ.อ้าย” อาจลาออกในที่ประชุมด้วย

ส่วน “เสธ.อ้าย” ในอนาคตจะลงสู่ “สนามการเมือง” หรือไม่? ก็ได้คำตอบที่ชัดๆ ตรงๆ

“คงไม่ไป ผมไม่นิยมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผมยังเป็นประธานเตรียมทหารรุ่น 1 และเป็นนายกสมาคมไทย-จีน” เสธ.อ้ายกล่าว

จึงต้องจับตาอนาคตจากนี้ไป แต่ที่แน่ๆ “สนามม้านางเลิ้ง” ที่ตั้งที่นี่ ได้เป็นตำนานไปแล้ว เป็นอีกสถานที่ความทรงจำของชาย-หญิงวัยกลางคนและวัยเกษียณ ที่เข้ามาเสี่ยงโชค และเป็นพื้นที่ที่ถูกหยุดเวลาไว้ ทั้งผู้คนกับสภาพแวดล้อมต่างๆ

ซึ่ง “พวกเขา” ต่างพูดตรงกันว่า “ใจหาย” เพราะที่นี่ถือเป็นบ้านหลังที่ 2 เลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ “เสธ.อ้าย” ที่รู้สึกแบบนี้