ทวีปที่สาบสูญ : ตอนที่ฉันอายุได้สิบห้าปี โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ระริน… ฉันยินบทเพลง

ร้อนเร่าบรรเลงจนฉันสั่นไหว

ผีเสื้อตัวนั้น กระพือปีกแผ่วเบาลงเกาะบนขอบหน้าต่าง ฉันยังจำได้อยู่เลย กับแสงจางๆ ของตะวันครั้งนั้นอีก ที่แลลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา

ยามที่ฉันนอนตะแคงลืมตา มองดูมันนิ่งๆ อยู่ในห้องของใครคนหนึ่ง แล้วในเวลาถัดมา ก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่ใต้ร่มไม้…ใช่ ฉันกับเพื่อนของพี่โฟคนนั้น พี่ฝนคนผมสั้น

คนที่บอกรักฉัน จะดูแลฉัน

คนที่แตะริมฝีปากบนหน้าผากของฉันเบาๆ อย่างทะนุถนอมหลายต่อหลายครั้ง

แต่ช่างกระไรเลย

ในส่วนลึกฉันกลับเหมือนไม่เคยรู้สึกรู้สา

ช่างต่างลิบลับกับในเวลานี้

ที่เหมือนเสียงกลองกำลังรัวก้อง และหมู่มวลแมลงมีปีกทั้งหลายโบยปีกอยู่ข้างในอกไม่หยุดยั้ง

“ยังไม่หลับอีกเหรอ”

เสียงถาม พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดตัวมา ฉันเกร็งตัวขึ้น ขณะที่นอนยวบไหวลง

นางฟ้านั่งลงข้างๆ สลัดผมที่เปียกหมาดอยู่

“จะไปเข้าห้องน้ำอีกหรือเปล่า จะได้ไปเป็นเพื่อน”

“…ไม่ไป”

ใจฉันยังปั่นป่วนไม่เลิกรา มันเกือบๆ จะเป็นความทรมานอันยากจะสลัดไปให้พ้นได้ เริ่มตั้งแต่ปากสิ้นความอยาก ได้แต่รวบวางช้อนส้อมลงเงียบๆ แล้วอามินก็บอกว่า

“อิ่มแล้วไปนอนกันก่อนก็ได้ เดี๋ยวตรงนี้ให้เด็กมาเก็บเอง”

“ขอไปนอนกับอาได้ไหมคะคืนนี้” จู่ๆ นางฟ้าก็เอ่ยขึ้น

แต่อามินยกแก้วขึ้นดื่ม

“อย่าดีกว่า อาเป็นคนนอนกรน เดี๋ยวจะพลอยไม่ได้นอนด้วยกันทั้งคู่”

“ทำไมล่ะคะ”

“ก็พออากรน หนูรินก็ต้องมาเขย่าปลุกอาเพราะทนรำคาญไม่ไหว แล้วอาก็จะต้องตื่น พอหนูรินจะหลับ อาก็กลับมากรนต่อ หนูรินก็ตื่นอีกรอบ…”

“ไม่อย่างนั้นหรอกมั้ง” ระรินหัวเราะ

“เหอะ ขออานอนสบายๆ ดีกว่า” อามินยังคงปฏิเสธอย่างจริงจัง “เอางี้สิ เอาเนไปนอนด้วย”

ฉันเกือบสะดุ้ง เด็กสาวก็เงียบไปเช่นกัน

แต่อามินคงไม่ได้สังเกตอะไร พูดต่ออีกว่า

“อาก็ว่าจะบอกอยู่นะ หนูรินกับคะเนนอนห้องเดียวกันไปเลยสิ มีอะไรจะได้คุยกัน อีกอย่าง อาก็จะได้ไม่ต้องห่วงมาก จะให้ล่ามกันอีกก็ไม่ไหว”

“ทำไมคะอา? ล่ามอะไร”

ฉันเริ่มหน้าร้อนผ่าวขึ้น รู้ว่าอามินเองคงยังเป็นกังวลอยู่ในใจ

“หนูไม่คิดอย่างนั้นแล้วค่ะ” เอ่ยปากไปเบาๆ

เด็กสาวเหลียวมามองหน้า สายตามีคำถาม ขณะอามินทำท่าโล่งใจ

“ดีแล้ว คนเราน่ะยังมีลมหายใจก็ต้องสู้ไปให้ถึงที่สุด”

แล้วทุกคนก็เงียบงันกันไปอีกครั้ง และในที่สุด ฉันก็หอบหมอนกับผ้าห่มย้ายมาสู่ห้องที่กว้างกว่าเดิม

แสงจากโคมไฟบนหัวเตียงส่องออกมาเพียงริบหรี่ ฉันอดจ้องดูไม่ได้ ปากโคมหยักเหมือนกลีบดอกไม้ แลเห็นลายสีน้ำเงินขีดบนกระเบื้องเคลือบบางๆ บนผนังด้านนั้นยังมีรูปเขียนใส่กรอบติดอยู่ เป็นรูปกินรีสองตัว ย่างเยื้องชำเลืองดูกัน

มีเสียงการเคลื่อนไหวอีกสองสามหน รับรู้ได้ว่าเด็กสาวลุกจากเตียง ก่อนจะกลับมาใหม่ กลิ่นหอมอ่อนๆ รวยรินอยู่ใกล้อีกครั้ง

“ดูอะไร” เสียงถาม

ฉันขยับตัว ละสายตา แต่ก็ยังไม่กล้าสบตากับคนข้างๆ

“…ไม่มีอะไรฮะ”

“นี่” ระรินดึงไหล่ฉัน

ร้อนวูบขึ้นทั้งตัว หัวใจเต้นแรงขึ้นฉับพลัน

“…ฮะ พี่”

“ถามอะไรหน่อยสิ”

“…อะไร”

ฉันได้กลิ่นสาบน้ำเบียร์ที่เจือมากับลมหายใจ ตระหนักในตอนนั้นว่า นางฟ้าเข้ามาอยู่ใกล้กว่าที่คิด

“สัญญานะว่าจะตอบตามจริง”

“…เอ้อ…ฮะ” ฉันตกประหม่าจนออกเสียงสับสน

อันที่จริง ฉันกำลังไม่มีสมาธิเลยต่างหาก ประสาททั้งมวลตื่นตัว ใจเต้นรัวจนกลัวเด็กสาวจะได้ยินมันเข้า

“ที่อามินพูดน่ะ หมายถึงอะไร…ได้ยินหลายทีแล้ว ใครล่ามอะไร”

ถ้าฉันจำไม่ผิด อามินเคยทำท่ากระซิบข้างหูเด็กสาว แล้วทั้งสองก็มองดูฉัน…อย่างนั้น ที่ถามมา จะเป็นการลองใจหรือเปล่า

“อามินบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือ…ฮะ”

“บอกเรื่องอะไรล่ะ”

“ก็…เรื่องที่…”

“อามินบอกว่า เธอน่ะ มีอะไรลึกๆ ลับๆ ยังไงไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลยว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน อามินถูกชะตากับเธอ เลยอยากให้เราช่วยดูแลเธอด้วย แต่อามินคงลืมไปนะว่า เราต่างหากเป็นคนพาเธอมา”

ประโยคนั้นเองที่ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาว

“เราจำได้ว่า ก่อนจะเกิดเรื่อง…เธอพูดให้เราฟังตั้งมากมาย…เรายังกอดเธอไว้…”

“…พี่”

“เราเลยอยากถามเธออีกเรื่องด้วย ที่เธอบอกกับเราในสวนน่ะ…หมายความว่ายังไง”

เคยมีคำถามสำคัญหลายหนในชีวิต ทั้งที่คนอื่นถามฉันและฉันถามตัวเอง แต่ก็ไม่เคยมีคำถามใดยากเท่าที่นางฟ้าเอ่ยปากมา…ยังไม่มีเลย

มันอาจจะยาก เพราะแม้ปากฉันเคยเป็นฝ่ายถามเธอไปก่อน แต่เมื่อคำถามย้อนกลับมาสู่ตัวอีกครั้ง

ดั่งเป็นเพียงคนเบื้อใบ้

ดวงตานางฟ้าวับวาวอยู่เพียงใกล้ๆ ใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาอีกครั้ง

จนกระทั่งคิดออกแต่เพียงว่า ฉันไม่อาจตอบเธอได้ในคำพูดอื่นใด นอกไปเสียจาก…

โอ้นางฟ้าของคนยากไร้

ดั่งนางเทวดาผู้เสียบแซมดอกไม้ไว้บนมุ่นมวยผม

โบยบินลงมากับพายุสายลม

จูบซับความตรอมตรมของฉันไว้

เธอช่างงดงามเหลือเกิน

ผู้เดียวที่จะพาฉันเผชิญวันใหม่

ผู้เดียวที่จะพาฉันก้าวข้ามไป…

จริงๆ แล้วฉันกลัวมากเหลือเกิน เมื่อยื่นมือออกไปเบื้องหน้า แตะวางทาบบนใบหน้าของนางฟ้า แต่ดวงตานั้นช่างงดงามนัก รวมไปถึงจมูก โค้งคิ้ว ลาดแก้ม และริมฝีปาก

ฉันปราศจากความคิดใดๆ ในหัวสมอง รับรู้แค่เพียงว่านางฟ้าเองก็มองหน้าฉัน

เธอเป็นฝ่ายไขว่แขนไปด้านหลัง กดปิดโคมไฟลง จนเหลือเพียงความสลัวรำร่ายอยู่ภายในห้อง

ฉันขยับตัวขึ้นไปอีกนิด จนสามารถประคองใบหน้าของเธอไว้ได้ทั้งหมด แม้จะมีความมืดมากมายเท่าใด ฉันยังเห็นความสุกใสในตาแสนงามนั่น

“…เธอจะทำอะไร”

“…ไม่รู้”

เสียงของเธอไหวพร่า และฉันก็คงเช่นกัน

“เธอยังไม่ได้ตอบเราเลย”

“…เรากำลังจะตอบพี่ไง…คะ” ฉันเปลี่ยนคำลงท้ายตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

“ตอบว่ายังไง”

“เราเคยอยากตายไปให้พ้นๆ เสีย…” ฉันเว้นวรรคไปชั่วขณะ “แต่แล้ว…เราก็เจอพี่”

ฉันมองหน้านางฟ้าอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรก

“พี่ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก…พี่ทำให้เราอยากเปลี่ยนตัวเองดูอีกสักครั้ง เราอยากเป็นคนที่ช่วยเหลือพี่และคนอื่นๆ ได้บ้าง”

นางฟ้ายิ้มจางๆ

“แล้วเรื่องนั้นล่ะ”

ฉันกลั้นหายใจ

“ที่เราบอกกับพี่ในสวนนะหรือ”

“ใช่”

“…เรารักพี่แล้วน่ะ พี่ให้เรารักพี่ได้ไหม”

“ถ้าไม่ให้ล่ะ”

“…เราก็จะรักพี่ข้างเดียว…ตลอดไป”

นางฟ้ายิ้มออกมาอีก แต่ก็ช่างน่าแปลก มันดูเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าจนคาดไม่ถึง กลิ่นน้ำเบียร์ยังรวยรินมากับลมหายใจ จะเป็นเพราะน้ำเมานั้นหรือเปล่า ที่ทำให้เราต่างสั่นไหว

เด็กสาวสอดแขนเข้ามาโอบรัดตัวฉันไว้

“ขอบคุณนะ…”

ฉันพยายามดึงแขนออก เพื่อจะป่ายมือไปในที่อื่นๆ แต่นางฟ้ายังคงฉุดรั้งไว้

และดึงหัวฉันให้ซุกลงในอ้อมอก…เหมือนในคืนเก่า

“นอนเถอะนะคะ…อย่าเพิ่งซน”

ฉันยังไม่อยากจะเชื่อฟังคำนั้นสักเท่าไหร่ แม้จะมีประสบการณ์มาน้อยครั้ง แต่ครั้งนี้ ดูจะเป็นครั้งแรกที่แผกจากทุกๆ ครั้งผ่านมา ฉันไม่เคยต้องการมากขนาดนี้มาก่อนเลย

“ให้เรารักพี่เถอะนะ…นะคะ”

“ก็ไม่ได้ห้ามนี่ แต่นอนกันก่อนดีกว่า”

นางฟ้ากดหัวฉันเอาไว้ และรัดด้วยอ้อมแขนอันแสนอุ่น

“…พี่…พี่ไม่รักเราบ้างหรือคะ”

อ้อมแขนรัดแน่นกว่าเดิม

“…พี่”

“นอนนะ อย่าเพิ่งดื้อ” นางฟ้าพูดกับฉัน ฟังอ่อนโยนและแสนหวาน หากจนแล้วจนรอดก็ไม่มีสักคำที่อยากฟัง

ใจฉันเจ็บแปลบปลาบขึ้นมา และทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ก็กลับร่วงหล่นลงไปอีกในความวุ่นวายใจ ความสับสน ความหวั่นกลัวและอับอายอยู่ปะปน ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลท่วมท้น ตอนที่ฉันอายุได้สิบห้าปี