ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์ / DESTINATION WEDDING ‘คู่กัด’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์

DESTINATION WEDDING

‘คู่กัด’

กำกับการแสดง Victor Levin
นำแสดง Winona Ryder Keanu Reeves

Destination Wedding เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกเหมือนสร้างจากละครเวที เพราะเดินเรื่องด้วยบทสนทนาเป็นหลัก และใช้ตัวละครแบบประหยัดที่สุด คุ้มค่าที่สุด และให้ประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องใช้ตัวประกอบมาเข้าฉากให้มากเรื่องมากความ
แต่อันที่จริง บทหนังเป็นผลงานการเขียนของตัวผู้กำกับฯ เองคือ วิกเตอร์ เลวิน และไม่ได้บอกว่าดัดแปลงมาจากบทละคร
เพียงแต่หนังวางเข็มวางกรอบสำหรับเรื่องราวทั้งหมดไว้ที่ตัวละครหนุ่มใหญ่สาวใหญ่เพียงสองคน โดยไม่เบี่ยงเบนหักเหไปไหนทั้งสิ้น
ตัวละครอื่นๆ เป็นเพียงเครื่องประดับอยู่ในฉากหรือบรรยากาศรอบๆ ตัวละครหลักทั้งสอง ไม่มีใครอื่นมีบทพูดเลยสักคำ

หนุ่มใหญ่สาวใหญ่ แฟรงก์ (เคียนู รีฟส์) กับลินด์ซีย์ (วีโนนา ไรเดอร์) เจอกันครั้งแรกที่สนามบินในแคลิฟอร์เนีย เพื่อรอขึ้นเครื่องบินเหมาลำแปดที่นั่งสำหรับเดินทางไป “จุดหมายปลายทางที่เป็นงานแต่งงาน” ของเจ้าบ่าวที่ทั้งสองรู้จักร่วมกัน โดยไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนหน้า เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ของกันและกัน
แฟรงก์เป็นพี่ชายต่างมารดาของเจ้าบ่าว ส่วนลินด์ซีย์เป็นอดีตคู่หมั้นของเจ้าบ่าวที่บอกเลิกกับเธอไปหลังจากมีกำหนดแต่งงานกันแล้ว ทิ้งให้เธอชอกช้ำระกำใจและยังทำใจไม่ได้ สำหรับลินด์ซีย์ การมาร่วมงานแต่งงานของคู่หมั้นเก่าครั้งนี้เป็นการปิดฉาก ตัดใจจากความเจ็บช้ำน้ำใจซึ่งยังลืมไม่ลงแม้เวลาจะล่วงไปตั้งหกปีเข้าแล้ว
งานแต่งงานที่ทั้งสองได้รับเชิญให้ไปร่วมนี้จัดขึ้นในชนบทอันแสนโรแมนติกในไร่องุ่นของแคลิฟอร์เนียท่ามกลางแสงแดดและสายลม และธรรมชาติบริสุทธิ์ห่างไกลจากสีสันของเมืองใหญ่

เพียงเมื่อแรกเจอหน้ากัน หนุ่มสาวก็เกิดเรื่องให้เกลียดขี้หน้ากันแบบไม่อยากเจอะเจอหรือเฉียดใกล้กันอีก ลินด์ซีย์มองว่าแฟรงก์ไม่ใช่สุภาพบุรุษ และเห็นแก่ตัวโดยทำตัวเนียนๆ พยายามตัดหน้าเธอเพื่อได้ขึ้นเครื่องบินก่อน
เธอด่าแฟรงก์ว่าทำตัวเหมือน “นายธนาคารที่จัดการด้านการลงทุน นักการเมือง และผู้ก่อการร้าย…” ซึ่งล้วนทำตัวน่ารังเกียจในสายตาของสาธารณชนทั่วไป
ทั้งไม่ลงรอยและเถียงกันในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก แม้แต่การเรียกชื่อเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทาง Paso Robles คนหนึ่งอ่านแบบภาษาอังกฤษว่า ปาโซโรเบิลส์ อีกคนอ่านแบบภาษาสเปนว่า ปาโซโรเบลส
แฟรงก์เป็นผู้บริหารของนิตยสารที่ให้รางวัลดีเด่นแก่บริษัทต่างๆ ส่วนลินด์ซีย์เป็นทนายความที่มุ่งหน้าจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากสถาบันหรือบริษัทที่แสดงอคติ หรือพูดอะไรที่ “ไม่ถูกต้องทางการเมือง”
แม้ว่าดูเหมือนจะอยู่กันคนละขั้ว กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งวางตัวเหมือนคอยให้กำลังใจและสนับสนุนบริษัทที่ทำดี ส่วนอีกฝ่ายคอยตรวจสอบและกระหนาบคนทำผิดให้อยู่กับร่องกับรอย แต่ทั้งคู่ก็มีสิ่งเหมือนๆกันอยู่มากกว่าที่จะคาดคิด
นั่นคือ ทั้งคู่มีหน้าที่การงานที่วางบทบาทไว้สำหรับการให้คำตัดสินแก่คนในสังคม และคอยชี้ผิดถูกชั่วดีของคนรอบตัว
ซึ่งทำให้ทั้งคู่มีนิสัยเหมือนกันมากอย่างไม่รู้ตัว คือพูดมาก ขี้บ่น จู้จี้ ชอบจับผิด มองโลกในแง่ร้าย เกลียดโลกเกลียดเพื่อนร่วมโลก จนพาลเกลียดตัวเองไปด้วย
พูดอีกอย่างคือทั้งสองต่างมองหาความสมบูรณ์แบบในโลกที่ไม่มีทางสมบูรณ์แบบไปได้เลย
เพราะขนาดตัวของตัวเองก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ
ฉะนั้นจึงต่างฝ่ายต่างทุกข์ทนอยู่ในโลกอันว้าเหว่ไร้ญาติขาดมิตร ไร้ศรัทธาในความรักและความดีงามของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

หลังจากการพบกันครั้งแรกที่สนามบินแล้ว ทั้งคู่ก็ต้องร่วมทางกันไปตลอด นั่งเครื่องบินเล็กไปด้วยกัน รอรถคันเดียวกันมารับที่สนามบิน ได้ห้องพักติดกันในโรงแรมแบบห้องชุด ได้รับการจัดที่นั่งในงานซ้อมและงานแต่งงานติดกัน ได้รับบัตรของขวัญไปนวดเท้าด้วยกัน จัดให้ไปร่วมกิจกรรมเล่นสนุกด้วยกัน…ถึงขนาดที่คนฉลาดอย่างทั้งคู่เกิดนึกสงสัยว่าโดนจัดฉากจับคู่กันหรือเปล่านี่
ทั้งหลายทั้งปวงโดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ของหนัง มีตัวหนังสือเป็นประโยคแสบๆ คันๆ ขึ้นสลับฉากเหมือนจะบอกความรู้สึกในใจที่มองเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องเส็งเคร็ง แต่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรพูดให้ใครรู้ (หรือถ้าพูดอย่างเป็นทางการคือ “ไม่ถูกต้องทางการเมือง” เพราะจะไปกระทบกระเทือนใจผู้อื่น) จึงมีการขีดฆ่าออกเสีย
การผจญภัยไปด้วยกันสู่จุดหมายปลายทางคืองานแต่งงานนี้ ดึงให้ทั้งสองมาใกล้ชิดกันเช่นเดียวกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วไป
ทว่าขอเตือนก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังหวานแหววแบบโรแมนติกคอเมดี้โดยทั่วไปนะคะ
ไม่มีอะไรโรแมนติกเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน แม้แต่บรรยากาศอันชวนฝันของการประกอบพิธีแต่งงานบนเนินท่ามกลางไร่องุ่นสุดลูกหูลูกตา และในลำแสงงดงามของอาทิตย์อัสดง
ลินด์ซีย์ซึ่งพบว่าเธอต้องเดินย่ำโคลนขึ้นไปในรองเท้าส้นสูงสู่สถานที่จัดงาน ออกปากให้แฟรงก์ช่วยอุ้มเธอไป ซึ่งแฟรงก์ก็ทำให้อย่างไม่เต็มใจเลย และบ่นอุบไปตลอดทาง
เธอบ่นด้วยว่า “นี่แหละสิ่งที่โลกต้องการเลยละ พิธีแต่งงานในเวลาพระอาทิตย์ตกดิน…”
ไม่มีอะไรโรแมนติกสำหรับคนที่มองโลกในแง่ร้าย…หรือแม้สำหรับคนที่มองโลกตามความเป็นจริง…

เป็นหนังพูดมากนะคะ และถ้อยคำบทสนทนาก็ฟังดูเฉลียวฉลาดแหลมคม แบบที่ต้องเป็นคนปากไวสติปัญญาเฉียบแหลมเท่านั้นที่จะนึกทัน
ตลกมากค่ะถ้าฟังทันและคิดตามทัน แต่บางครั้งก็ดูเหลือเชื่อ และฝืดฝืนเพราะขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ไปหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากที่ทั้งสองโผล่ไปเจอสิงโตภูเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ลินด์ซีย์พูดมากและต่อล้อต่อเถียงในเรื่องที่แทบไม่สำคัญเลยในขณะหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น นั่นคือสัตว์นักล่าที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นอะไรกันแน่ จากัวร์ ชีตาห์…ฯลฯ หรืออะไร และสิ่งที่ควรทำคือวิ่งหนีไปเสีย แต่ใครจะเป็นคนวิ่งก่อน ฯลฯ ก็จี้เส้นอยู่หรอก แต่ออกจะล้ำเส้นไปหน่อยในด้านความสมจริง
และเมื่อความตื่นเต้นเร้าใจนั้นนำไปสู่ฉากรักกลางทุ่งหญ้า ขณะที่ยังรู้ตัวว่าสัตว์นักล่าคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นเอง
ฉากนี้ทำให้รู้สึกหลุดจากโลกจริง และลืมไม่ได้เลยว่านี่เป็นเพียงสถานการณ์ชวนขันในหนังตลกเท่านั้น

ดังที่กล่าวแล้วว่านี่ไม่ใช่ “รอมคอม” หรือโรแมนติกคอเมดี้ตามมาตรฐานทั่วไป พระเอกนางเอกทำอะไรพิลึก และบางครั้งก็ชวนขยะแขยงพอดู ไม่ว่านิสัยชอบกระแอมกระไอเหมือนจะขากเสลดของแฟรงก์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องดีสำหรับเขาที่สามารถใช้ข่มขวัญขับไล่สิงโตภูเขากระเจิงไปได้
หรือนิสัยของลินด์ซีย์ที่ชอบหายใจใส่ต้นไม้เพื่อคืนชีวิตให้แก่มัน โดยบอกให้รู้ที่มาที่ไป
แต่อย่างไรก็ตาม หนังก็ลงเอยตามสูตรของโรแมนติกคอเมดี้อยู่ดี
ซึ่งเหมือนจะส่งสารบอกเราว่า ไม่ว่าจะยังไง ในโลกนี้ก็มีใครสักคนสำหรับใครสักคนเสมอ
นี่เป็นการเล่นหนังด้วยกันเป็นเรื่องที่สี่ของอดีตดาราขวัญใจของฮอลลีวู้ดคู่นี้ นับแต่เล่นคู่กันครั้งแรกใน Bram Stoker’s Dracula (1990) ฝีมือกำกับฯ ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และตามมาด้วย A Scanner Darkly (2006) และ The Private Lives of Pippa Lee (2009)
และทั้งคู่ก็ออกจะห่างหายจากวงการไปนานพอดู