ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ก่อสร้างและที่ดิน |
ผู้เขียน | นาย ต. |
เผยแพร่ |
ผลงานทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โครงการที่เป็นหน้าเป็นตามากที่สุดคงไม่พ้นโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดเดิมสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
เด่นสุดของ EEC เห็นจะเป็นเรื่องการตลาดการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ใครที่ติดต่อสัมพันธ์กับนักธุรกิจต่างประเทศอยู่ประจำโดยเฉพาะในแถบจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี จะพบว่า EEC เป็นหัวข้อ
การสนทนาเป็นประจำในการพบปะกัน
แสดงถึงการเป็นที่รับรู้และเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ
รัฐบาลไทยก็จัดคณะไปรณรงค์สร้างความเข้าใจกับนักลงทุนต่างประเทศทั้งญี่ปุ่นและฮ่องกงมาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีคณะนักลงทุนต่างชาติเดินทางมาสำรวจความเป็นไปได้ในการลงทุนใน EEC หลายต่อหลายคณะอยู่เสมอ ได้เห็นสาธารณูปโภค สาธารณูปการ อาทิ ท่าเรือน้ำลึก สนามบิน นิคมอุตสาหกรรม รอเพียงโครงการรถไฟความเร็วสูง ให้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจกันทีเดียว
ที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของโครงการ EEC ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องรองรับโครงการและเพื่อให้สิทธิพิเศษกับนักลงทุนต่างชาติที่ทำได้รวดเร็ว ครอบคลุม ด้วยอำนาจพิเศษของ คสช. ซึ่งหากเป็นรัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้งคงจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามากทีเดียวในการผลักดันกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎร
เรื่องที่ยังเป็นปัญหา เป็นเรื่องในทางปฏิบัติ
ในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ทราบๆ กันคือ เรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดิน
เพราะแม้จะมีนโยบายรัฐออกมาแล้วว่าพื้นที่ส่วนไหนสนับสนุนให้เกิดธุรกิจหรืออุตสาหกรรมประเภทใดไปแล้ว รวมทั้งมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหาอุปสรรคและการส่งเสริมดึงดูดการลงทุนธุรกิจที่ต้องการแล้ว
แต่ในรายละเอียดทางปฏิบัติที่จะระบุว่าที่ดินแปลงนี้สามารถใช้ประโยชน์ทำอะไรได้บ้าง หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบราชการนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างตามนโยบายรัฐ จะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจมากพอที่จะตัดสินใจซื้อที่ดิน
เจ้าของที่ดินก็ยังยืนยันไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่าการใช้ประโยชน์จะเป็นอย่างไรต่อไป
ดูเหมือนที่มั่นใจมากในเรื่องนี้จะมีเพียงนายหน้าซื้อขายที่ดิน 55
เรื่องนี้เป็นเพียงจิ๊กซอว์ตัวเล็กๆ ที่ยังไม่เรียบร้อย จึงควรรีบแก้ไขโดยเร็ว เพราะขณะนี้จังหวะเวลากำลังเอื้ออำนวย
สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่งเริ่มปะทุ ทำให้อุตสาหกรรมบางประเภทที่จะได้รับผลกระทบทางลบ อาทิ ส่งออกจากจีนไปสหรัฐอเมริกาไม่ได้ ก็หันทิศทางมาลงทุนในประเทศไทยเพื่อเลี่ยงผลกระทบดังกล่าว
อุตสาหกรรมหลายอย่างของจีนก็ทยอยมาลงทุนในไทยเพื่อใช้เป็นฐานในการส่งออกไปในประเทศอาเซียน
ส่วนอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นซึ่งเดิมอีสเทิร์นซีบอร์ดก็เป็นฐานการลงทุนในต่างประเทศของญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว ญี่ปุ่นเองก็คงยังรักษาฐานบริเวณนี้เอาไว้
ทุกวันนี้รู้กันดีว่า สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก มีโอกาสอะไรเข้ามาต้องรีบคว้า
อย่าปล่อยให้ข่าวเกี่ยวกับที่ดินย่าน EEC มีเพียงข่าวราคาที่ดินปรับตัวขึ้นไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ราคาที่ดินที่ว่าขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ ส่วนใหญ่เป็นราคาบอกขายของเจ้าของที่ดินหรือนายหน้าค้าที่ดินเสียมากกว่า
คนซื้อหรือนักลงทุนยังไม่ตัดสินใจซื้อ ราคาจริงก็ยังไม่เกิด
การพัฒนาจริงๆ ก็ยังไม่ได้เริ่ม