เครื่องเคียงข้างจอ/ วัชระ แวววุฒินันท์/ธรรมชาติ กับ พุทธศาสนา

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

 

ธรรมชาติ กับ พุทธศาสนา

 

ข่าวคราวในจอทีวีตอนนี้เห็นมีแต่เรื่องภัยธรรมชาติที่โหมกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ ราวกับมีโปรโมชั่นให้กับโลกใบนี้ก็ไม่ปาน
ที่ใกล้ชิดติดกับบ้านเราเลยคือ กรณีเขื่อนแตก ใน สปป.ลาว แม้จะไม่ใช่เกิดจากภัยธรรมชาติโดยตรง แต่ก็ทำให้เห็นว่า มวลน้ำอันมหาศาลที่ล้นพ้นสันเขื่อนออกมา จนเขื่อนแตกเทน้ำก้อนใหญ่ให้ท่วมพื้นที่หมู่บ้านจนมิดหลังคาบ้านอย่างรวดเร็วนั้นมีอานุภาพเพียงใด
ความเสียหายที่เกิดกับ สปป.ลาวล่าสุดคือ ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติไปแล้ว มีผู้สูญหายกว่า 1 พันคน และที่พบว่าเสียชีวิตแล้วก็หลายร้อยคน
นับว่าเป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวงอย่างมาก

เวลาถัดมาก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 แมกนิจูดที่เกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้อาคารบ้านเรือนเสียหายหนัก มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ทางการอินโดนีเซียต้องอพยพผู้คน และทำการกู้ภัยเร่งด่วน รวมทั้งมีคนไทยที่ติดอยู่ในพื้นที่ที่ออกมาไม่ได้หลายร้อยคน ตอนที่เขียนต้นฉบับนี้ ก็กำลังเร่งประสานงานพาตัวออกมาอยู่
ประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่โดนธรรมชาติเล่นงานติดต่อกัน นับแต่พายุหิมะที่เกิดขึ้นเมื่อต้นๆ ปี ก็มาถึงพายุ “ไต้ผุ่นมาเรีย” ที่โหมกระหน่ำทางภาคตะวันตกของประเทศจนเกิดอุทกภัย ต้องอพยพประชาชนกว่าล้านคนไปหาที่อยู่ชั่วคราว รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน การย้ายคนจำนวนมากเป็นล้านคนนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะครับ นับว่าเป็นภัยพิบัติทางอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีของญี่ปุ่นทีเดียว

และช่วงที่ผ่านมาประเทศญี่ปุ่นเองก็ต้องผจญกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ด้วยอุณหภูมิถึง 41 องศาเซลเซียส ทำให้มีคนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 80 คน
ซ้ำร้ายยังจะมีพายุตัวใหม่ ชื่อ “ไต้ฝุ่นชงดารี” ที่จะซัดประเทศญี่ปุ่นอีกระลอกหนึ่งด้วย
ไม่นับประเทศใกล้เคียงอย่างไต้หวัน และสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ก็โดนพิษจากพายุไต้ฝุ่นมาเรียสร้างความเสียหายไปแล้วไม่น้อยเช่นกัน

สําหรับประเทศไทยเองก็ใช่ย่อย เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายๆ พื้นที่ของจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสาน จนมีน้ำท่วมบ้านเรือนและไร่นาตามที่เห็นในข่าวกันแล้ว โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดแม่น้ำโขงก็ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำที่เอ่อล้นขึ้นมา จนต้องขนของขึ้นที่สูง
ที่ อำเภอบ่อเกลือ จ.น่าน เกิดดินถล่มจากฝนที่ตกหนักจนบ้านพัง และทับคนเสียชีวิตรวมทั้งพื้นที่ทำไร่ทำนาก็เสียหายไปด้วย
หากย้อนไปมองถึงเหตุการณ์ภารกิจ “ช่วยหมูป่ากลับบ้าน” ที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ภารกิจนี้แทบจะเป็นเรื่อง Impossible เลยก็คือ “น้ำที่ท่วมถ้ำ”
ท่านผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ที่บัญชาการอยู่ในขณะนั้น ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า ตอนแรกที่ได้รับรายงานว่ามีเด็กติดอยู่ในถ้ำ ยังนึกเลยว่าเดี๋ยวส่งคนเข้าไปช่วยพาออกมาก็ได้แล้ว แต่เรื่องไม่ง่ายดายขนาดนั้น หากกลับเป็นเรื่องสุดยากเข็ญ ก็เพราะมีฝนตกหนักจนน้ำไหลไปท่วมอยู่ในถ้ำในระดับสูง บางจุดก็ท่วมหัว ประกอบกับสภาพถ้ำที่เป็นผลการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ ที่ทำให้ถ้ำแห่งนี้มีสภาพสูงต่ำแคบกว้างแตกต่างกันไป ลำพังไม่มีน้ำก็เดินด้วยความลำบากอยู่แล้ว
นี่เป็นผลจากธรรมชาตินั่นเอง

สุดท้ายแม้จะทำภารกิจสำเร็จ ก็ต้องใช้เวลาถึง 18 วัน และถ้าจะมองให้ชัด ที่ช่วยเด็กออกมาได้ไม่ใช่ว่าเรา “ชนะธรรมชาติ” แต่หากเรา “เรียนรู้ธรรมชาติ” และค้นหาวิธีที่จะอยู่กับธรรมชาตินั้นให้ได้ เป็นการอยู่แบบศึกษา ยอมรับ และปรับตัวตาม
อย่างไรน่ะหรือ?
ดูได้จากแผนการทำงานของทีมงานคือ การศึกษาว่าฝนที่ตกลงมานั้น มีช่องทางไหนบ้างที่เป็นช่องทางที่น้ำจะไหลเข้าถ้ำได้ ก็ทำการเบี่ยงสายน้ำออกไปให้ไหลเข้าถ้ำได้น้อยที่สุด นั่นคือเราไม่สามารถห้ามให้น้ำฝนไม่ไหลเข้าถ้ำได้ แต่เราเปลี่ยนเส้นทางได้
หรือเราศึกษาว่าน้ำใต้ดินบริเวณถ้ำมีลักษณะอย่างไร อยู่จุดไหนบ้าง เพื่อเราจะได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทำ “ธนาคารน้ำ” ซึ่งจะช่วยถ่ายเทน้ำใต้ดินในรัศมี 50 กิโลเมตร เพื่อให้น้ำในถ้ำลดระดับลงได้
เราไม่สามารถห้ามไม่ให้น้ำฝนไหลเข้าถ้ำได้ แต่เราใช้เครื่องสูบน้ำซูเปอร์พญานาค ไปสูบเอาน้ำออกได้
เราเรียนรู้ว่าตอนนี้น้ำในถ้ำสูงต่ำแค่ไหน เพื่อประเมินสถานการณ์ในการปฏิบัติภารกิจ
เราเรียนรู้จากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาว่าจะมีฝนตกหนักและเบาบางวันไหน เวลาไหน จึงได้มีการฉวยโอกาสกำหนดลงมือใน 3 วันนั้น ซึ่งเป็นวันที่ฝนชะลอตัว ไม่เทลงมาเหมือนช่วงแรกๆ และหากช้าไปกว่านี้ก็จะหนักลงมาอีก
นี่ขนาดนำเอาผู้เชี่ยวชาญในการกู้ภัยจากทั่วโลก นำเอาวิทยาการและเครื่องมือจากประเทศต่างๆ มาลงแขกกัน ก็ไม่สามารถที่จะ “เอาชนะธรรมชาติ” ได้
ธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ และในชีวิตมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราๆ

ช่วงที่ผ่านมาเป็นวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาของชาวไทย
ได้มีการพูดถึง “หลักธรรม” คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในข้อธรรม และแง่มุมต่างๆ เพื่อเตือนสติให้คนได้ใช้เป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต ให้ได้มีความสุขอย่างยั่งยืน
ในหลักธรรมะที่ว่านั้น พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ศาสนา ก็คือธรรมชาติ”
“ธรรมชาติกับศาสนา เป็นเรื่องเดียวกัน”
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ได้เห็นถึงหนทางแห่งการดับทุกข์นั้นก็คือ การที่พระองค์ได้เห็นถึง “ธรรมชาติของโลก” และ “ธรรมชาติของชีวิต” นั่นเอง
ธรรมชาติของชีวิตนั้นก็คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ไม่มีใครหนีธรรมชาตินี้ไปได้ ไม่ว่าจะเศรษฐี หรือยาจก นายกฯ หรือกรรมกร
ธรรมชาติของโลกก็คือ ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ มีการเกิดและการดับสลายอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงหยุดธรรมชาติ ห้ามไม่ให้เราเกิด หรือตายไม่ได้
เราจึงชนะธรรมชาติโดยทำไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เมื่อชนะไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้ธรรมชาติ และปรับตัวอยู่กับธรรมชาตินั้นให้เป็น ซึ่งก็ได้แตกเป็นรายละเอียดในการดำเนินชีวิตด้วยหลักธรรมต่างๆ ที่พระองค์ได้ประทานให้กับมนุษย์มา 2561 ปีแล้ว
ทุกวันนี้ ที่เราไม่เคารพธรรมชาติ ที่เราได้ย่ำยีธรรมชาติไปมากเพียงไร
นั่นก็คือ เราได้ทำลายชีวิตของตัวเองลง เราได้เดินหนีความสงบสุขไปทุกๆ วัน
และสิ่งที่เป็น “ตัวเอก” ในการทำร้าย ทำลายธรรมชาติที่สุดนั้นก็คือ “อำนาจ” นั่นเอง
หากผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจในทางที่วิกลจริต ผิดหลักทำนองครองธรรม สุดท้าย ธรรมชาติก็จะลงโทษให้เห็น
เหมือนกับที่โลกเรากำลังประสบอยู่ทุกวัน
ลำพังจะมีแต่หนักหนาขึ้น ตามอำนาจและกิเลสมนุษย์นั่นเอง