อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ครึ่งหนึ่งของชีวิต ตอน “การ์ดแต่งงาน”

ใครคนหนึ่งส่งการ์ดเชิญวันแต่งงานของเขามาให้ผม

สาเหตุที่ผมเรียกเขาว่าใครคนหนึ่งนั้นมาจากสาเหตุที่ผมรู้จักเขาน้อยเต็มที

แต่งานมงคลแบบนี้ ใครก็ตามย่อมเข้าร่วมได้เพื่อแสดงความยินดี

น่าเสียดายที่ช่วงวันมงคลของเขานั้น ผมพัวพันกับการโยกย้ายสิ่งของไปยังที่พักแห่งใหม่

ผมยกหูโทรศัพท์หาเขา กล่าวคำขอโทษ “ขึ้นบ้านใหม่ หรือมีทายาทคนแรก จะไปร่วมแสดงความยินดีด้วย” ผมกล่าวกับเขาทางโทรศัพท์เช่นนั้น

การเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นเรื่องน่ายินดีเสมอ

และสำหรับคนที่เรารู้จักเขาน้อยเต็มที การไปร่วมแสดงความยินดีเช่นนี้จะทำให้เรารู้จักเขามากขึ้นในที่สุด

หลังวางสายโทรศัพท์จากเขา ผมวางการ์ดแต่งงานของเขาไว้บนโต๊ะทำงาน

กระดาษการ์ดแข็งเหมาะสำหรับการใช้คั่นหนังสือ คั่นสมุดจด หรือคั่นต้นฉบับที่กำลังตรวจทานอยู่ มันไม่เล็กเกินไปที่จะหล่นหายเหมือนที่คั่นหนังสือแบบอื่น และไม่ใหญ่เกินไปจนทำให้อ่านหนังสือไม่สะดวก

ผมหยิบการ์ดเชิญใบนั้นเป็นครั้งที่สองในยามเย็นของวันเดียวกันเพื่อใช้คั่นนวนิยายเรื่อง I am China ของ Xiaolu Guo ที่อ่านค้างอยู่

และแล้วสิ่งสัมพันธ์สองอย่างก็บังเกิดขึ้น

 

นวนิยายเรื่อง I am China เล่าถึงตัวละครเอกนาม “เจียน” ที่มีความผูกพันกับหญิงคนรักนาม “มิว”

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่าจะราบรื่นหากไม่เกิดเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน

ทั้งคู่พลัดพรากจากกัน

ชีวิตของ “เจียน” พังทลายยับเยิน เขาพบตนเองติดอยู่ในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยจิตเภทที่รำพึงและโหยหาแต่อดีต

เขานิยามชีวิตของตนว่า ผมจัดแบ่งชีวิตตนเองที่ผ่านมาออกเป็นสองช่วงคือ ก่อนพบเธอและหลังจากได้พบกับ “เธอ”

ประโยคเพียงประโยคเดียวนี้นำพาสู่บทสรุปของชีวิต “เจียน” อดีตของเขาคือการได้พบกับเธอ

ปัจจุบันของเขาคือการไม่มีเธอ

ส่วนอนาคตของเขานั้นคือการเฝ้ารอการได้พบกับเธออีกครั้งหนึ่ง

ผมปิดหนังสือหลัง “เจียน” กล่าวประโยคนั้นของเขาออกมา ก่อนจะเอื้อมมือหยิบการ์ดแต่งงานใบดังกล่าวมาคั่นหน้า

ความคิดเกิดขึ้นในฉับพลัน เจียนวางตำแหน่งการเคลื่อนที่ของเวลาชีวิต ของนาฬิกาชีวิตเขาไว้ที่ผู้หญิงคนหนึ่ง

เขาไม่ได้มีชีวิตที่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

เขาไม่ได้มีเวลาชีวิตที่ดำเนินไปอย่างอิสระอีกต่อไป

การใช้ชีวิตเช่นนั้นถูกต้องหรือ สมควรหรือ เราจะคิดแทนเจียนได้ไหมว่าเขาช่างน่าสมเพชเวทนาเสียเหลือเกินที่ไม่อาจหลุดบ่วงกับดักแห่งความคำนึงดังกล่าวได้

เราจะเย้ยหยันหมิ่นแคลนเขาได้ไหมว่าเป็นเพราะการติดกับดักความคิดดังกล่าวนั้นเองที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยทางจิต

มิวหรือเธอผู้นั้นอาจไม่มีตัวตนอีกต่อไป อาจไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วอีกต่อไป

แต่เธอยังมีชีวิตอยู่ในความคิดคำนึงของเจียน

และการมีชีวิตเช่นนั้นคือการมีชีวิตอยู่เพื่อทรมาน “เจียน”

 

ผมมองการ์ดแต่งงานใบนั้น ก่อนจะพิมพ์ชื่อเจ้าสาวคนนั้นบนการ์ด

ชายหนุ่มผู้นั้นเคยแบ่งเวลาด้วยกฎเกณฑ์ด้านชีวิตรักหรือไม่

ก่อนพบเธอ ก่อนพบเจ้าสาว เขามีชีวิตเช่นไร และหลังจากวันแต่งงานนั้นเขาเคยคิดบ้างไหมว่าชีวิตของเขาจะดำเนินไปเช่นไร

มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราแน่ๆ นับแต่เราเติบโต โรงเรียน เพื่อนฝูง การงาน แต่จะหาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้มากเท่ากับการมีครอบครัวนั้นเห็นจะไม่มี คำว่าชีวิตคู่นั้นเป็นคำศัพท์ง่ายๆ แต่มีความหมายว่าหลังการแต่งงาน

หลังการมีครอบครัว คุณไม่อาจนำพาชีวิตของตนเองแบบอิสระได้อีกต่อไป

มันจำเป็นจะต้องถูกคิด ถูกมอง ถูกตัดสินใจผ่านสายตาสองคู่ สองสมอง สองหัวใจ

ผลกระทบของอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตย่อมมีต่อเราอยู่เสมอ ไม่ว่าในทางดีหรือทางร้าย ไม่ว่าในทางเบิกบานหรือในทางพังทลาย

สำหรับเจียน การเดินหน้าต่อไปในชีวิตเขาหาใช่การถูกเยียวยาจากนายแพทย์ที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขา หากแต่มาจากมิวหรือเธอผู้นั้น เขาแทบไม่มีทางเลือก ถ้าเขาหาเธอไม่พบ อย่างน้อยเขาก็ต้องล่วงรู้ให้ได้ว่าเธอยังมีชีวิตต่อไปหรือไม่

ถ้าไม่อาจครอบครองเธอในความเป็น ก็จำต้องครอบครองเธอในความตาย การรู้ว่าเธอได้จากโลกนี้ไปอย่างถาวรแล้วเป็นการปลดปล่อย ปลดเปลี้องเจียนให้เป็นอิสระ

หลังการพบความจริงดังกล่าว อนาคตของเขาที่ไม่มีเธอจะมีอีกต่อไป

แต่อนาคตนั้นจะสงบขึ้นกว่าตกอยู่ในเมฆหมอกแห่งความคำนึง

 

การครุ่นคำนึงถึงชีวิตของเจียนและการ์ดแต่งงานใบนั้น ดูจะมีความพ้องเคียงกันอยู่มาก

การ์ดแต่งงานเล็กๆ เพียงหนึ่งใบแบ่งชีวิตเราออกเป็นสองช่วง

ช่วงเวลาก่อนจะมีชีวิตคู่และช่วงเวลาหลังการมีชีวิตคู่

น่าสนใจว่ากว่าที่ใครสักคนจะตัดสินใจใส่ชื่อของใครอีกคนลงเคียงข้างในการ์ดแต่งงานใบนั้น พวกเขาต้องผ่านพบเจออะไรมาบ้าง

ก่อนการพบเจอกับ “เธอ” หรือ “เขา” ผู้นั้น เราเคยพบเจอ “เธอ” หรือ “เขา” คนอื่นมาหรือไม่

ถ้ามีเพราะเหตุใดพวกเขาจึงหมดสิทธิมาปรากฏชื่อบนการ์ดแต่งงานใบนี้

และอะไรหรือที่ทำให้เราเลือก “เขา” หรือ “เธอ” ให้มีชื่ออยู่เคียงข้างเรา

เราทุกคนรู้ดีว่ากระบวนการเลือกคู่ของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นมากมายนัก

มีปัจจัยทั้งทางด้านสังคมและวัฒนธรรมกำหนดการเลือกคู่ครองของเรานอกจากปัจจัยด้านกายภาพและความคิดคำนึง หลายครั้ง สังคมและวัฒนธรรมก็เป็นฝ่ายชนะ

แต่ในอีกหลายครั้งความคิดคำนึงและความปรารถนาทางกายก็มีชัย

 

Alain De Botton นักปรัชญาและนักเขียนชาวฝรั่งเศสร่วมสมัยกับเราที่ผลงานหลายเล่มของเขาติดอันดับหนังสือขายดี ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ The Course of Love ว่า มนุษย์เราเพิ่งจริงจังกับแนวคิดที่ว่าความรักที่ดีคือความรักที่สมหวัง ครอบครัวที่ดีคือครอบครัวที่มีความสุขหลังจากช่วงศตวรรษที่สิบแปดมานี่เอง

ก่อนหน้านั้น ความรักเป็นสิ่งทรมาน ชีวิตครอบครัวคือความทุกข์ สามีทรมานภรรยา สามีนอกใจภรรยา พ่อและแม่เลี้ยงดูลูกแบบทิ้งขว้าง

จนกลางศตวรรษที่สิบแปดที่ลัทธิ Romanticism เกิดขึ้นและให้คุณค่ากับความรักที่งดงาม ละมุนละไมและสมหวัง พวกเราทั้งหลายในปัจจุบันล้วนเติบโตขึ้นภายใต้อิทธิพลของลัทธิ Romanticism นี่เอง

ลัทธิ Romanticism สร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมาในการนิยามความรักคือสิ่งที่เรียกว่า Soulmate หรือเนื้อคู่ในคำไทย (ซึ่งเป็นคำที่น่าสนใจมากแสดงว่าเรามีคู่ผ่านทางเนื้อหนังเป็นจุดเริ่มต้น)

และหน้าที่สำคัญข้อหนึ่งของมนุษย์เรานอกจากการงาน การศึกษา ศาสนาและสิ่งต่างๆ แล้ว เรายังมีหน้าที่ต้องออกค้นหาและค้นให้พบซึ่ง Soulmate นั้นด้วย

ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชายก็ตามที ลัทธิ Romanticism ยังบอกกับเราต่ออีกว่า เมื่อเราได้พบกับ Soulmate ผู้นั้น เราจะมีปฏิกิริยาทางกายและทางใจที่รุนแรงเพื่อบอกว่าเราได้พบเจอกับคนที่ใช่

คนที่เป็นเนื้อคู่

คนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเรา

 

Alain de Botton กล่าวต่อไปว่า ในสายตาของลัทธิ Romanticism การค้นพบดังกล่าวนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่

เมื่อใดก็ตามที่คุณเกิดความรู้สึกพิเศษกับใครบางคนโดยฉับพลัน อาจเป็นในบาร์ ในรถไฟฟ้า หรือในผับสักแห่ง คุณจะอดรนทนไม่ไหวต้องป่าวประกาศต่อเพื่อนหรือต่อใครสักคน

หลังจากการค้นพบนั้น คุณได้กลายเป็นคู่รักกัน แต่งงาน มีลูก มีครอบครัวและมีชีวิตที่เป็นสุขนับแต่นั้นมา

แต่ถ้าหากคุณหา Soulmate ของคุณไม่พบเล่า

สิ่งที่เลวร้ายจะกลับมาเล่นงานคุณแทน

คุณรู้สึกดังว่ามีสิ่งหนึ่งที่บกพร่องไปในชีวิต

คุณกระวนกระวาย

คุณเริ่มไม่แน่ใจในตนเอง มีอะไรผิดพลาดไปในตัวฉันกระนั้นหรือ

เรารู้สึกเปลี่ยวเหงา

เรารู้สึกดังว่าถูกทอดทิ้งให้ดุ่มเดินเพียงลำพัง ทำไมใครคนอื่นจึงค้นพบส่วนที่หายไปของพวกเขาได้

และทำไมคุณจึงไม่ประสบความสำเร็จดังว่า

ครึ่งหนึ่งของชีวิตคุณตกหล่นหายไปตรงไหน

คุณฟังเพลงเศร้า ดูภาพยนตร์รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในบางครั้งคุณก็มีความหวัง และในหลายครั้งคุณก็สิ้นหวัง

คุณจมอยู่กับความกังวล กระวนกระวาย

คุณจมอยู่กับคำถาม

คุณจมอยู่กับห้วงเวลาที่ถูกแบ่งไม่ต่างกับเจียน

คุณคิดว่ามันมีห้วงเวลาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ห้วงเวลาก่อนที่คุณจะได้พบกับ Soulmate ของคุณ ห้วงเวลาก่อนที่คุณจะได้พบกับครึ่งหนึ่งของชีวิต

และห้วงเวลาที่เหลือนับจากคุณได้ค้นพบครึ่งหนึ่งของชีวิตผู้นั้นแล้ว