ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
ฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเสาร์ (7 กรกฎาคม) ที่จะเป็นการขับเคี่ยวกันของพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีการลงทะเบียนสมัครรับเลือกตั้งเอาไว้จำนวน 20 พรรค ในการชิงชัยเก้าอี้ที่นั่งในรัฐสภากัมพูชาจำนวน 125 ที่นั่ง ในวันเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคมที่จะถึง
จับกระแสความรู้สึกคิดเห็นส่วนใหญ่ในแวดวงผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองฟันธงได้เหมือนกันว่าชัยชนะย่อมไม่พ้นตกอยู่ในมือของสมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้ยึดกุมอำนาจบริหารประเทศอย่างเด็ดขาดมานานกว่า 30 ปีอย่างแน่นอน และหนำซ้ำยังอาจจะเป็นการกวาดชัยชนะไปอย่าง “ถล่มทลาย” ของฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ภายใต้ร่มเงาของฮุน เซน เองอีกด้วย
เพราะมีปัจจัยเอื้อประโยชน์ให้หมดแทบทุกอย่าง
โดยเฉพาะ “ทางเลือกที่แท้จริง” ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของฮุน เซน และพรรคซีพีพี ได้ถูกแผ้วถางออกไปจนพ้นทางหมดแล้ว
หนึ่งนั้นคือพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) พรรคฝ่ายค้านที่ถือเป็นกำลังหลักสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจรัฐบาลฮุน เซน ก็ได้ถูกจำกัดพ้นไปจากสนามเลือกตั้ง
เมื่อพรรคซีเอ็นอาร์พีถูกศาลกัมพูชาสั่งยุบพรรคไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังจากนายเขม โสกา หัวหน้าพรรคซีเอ็นอาร์พีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมดำเนินคดีในข้อหากบฏขายชาติ
ไม่ต้องพูดถึงนายสม รังสี กำลังหลักอีกคนของฝ่ายค้าน ที่พอดูจะเป็นคู่ปรับเขย่าอำนาจท้าทายฮุน เซน ได้ ก็โดนคดีการเมืองเล่นงานอยู่หลายคดี จนต้องลี้ภัยไปอยู่นอกประเทศเมื่อหลายปีก่อน
ส่วนนักเคลื่อนไหวที่มีจุดยืนตรงข้ามกับรัฐบาลและสื่อที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ก็โดนอำนาจรัฐปิดปากให้ไม่ได้หือได้อือไปเป็นที่เรียบร้อย
ทำให้นักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่มองว่าในช่วงเวลาแห่งการหาเสียงเลือกตั้งที่กินเวลาราว 3 สัปดาห์
จะไม่มีภัยคุกคามใดมาแผ้วพานอำนาจอันแข็งแกร่งของฮุน เซน ได้
หรือแม้พรรคซีพีพีของฮุน เซน จะต้องต่อสู้กับอีก 19 พรรคการเมือง ทว่าไม่มีพรรคใดแข็งแกร่งเท่า เพราะส่วนใหญ่เป็นพรรคเล็กพรรคน้อยที่อยู่ในระหว่างการก่อร่างสร้างบารมี ไร้ผู้สมัครที่มีประสบการณ์หรือมีอิทธิพลอำนาจที่จะเทียบชั้นฮุน เซน ได้
ส่วนพรรคฟุนซินเปกของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเมืองมานาน ก็มีเสียงสนับสนุนแกว่งไปแกว่งมา ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรได้
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญอย่าง อู วิรัก นักรัฐศาสตร์ชาวกัมพูชา มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นการแข่งขันเพื่อชิงอำนาจ แต่หากเป็นการแสดงประชามติของชาวกัมพูชาที่มีต่อความนิยมในตัวฮุน เซน เสียมากกว่าว่าเขายังคงเป็นที่ชื่นชอบต้องการของชาวกัมพูชาอยู่มากน้อยเพียงใด และฮุน เซน จะสามารถยืนระยะยึดครองอำนาจเด็ดขาดเช่นนี้ไปได้อีกนานเท่าใด
อู วิรัก ยังบอกอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสนามที่ฮุน เซน ยังคงต้องแข่งกับตัวเอง เขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาจะสามารถรักษาเก้าอี้ของซีพีพีในสภา 90 ที่นั่งไว้ได้อีกครั้งหรือให้ได้เก้าอี้เพิ่มขึ้น นี่คือแก่นสำคัญ
ฮุน เซน ยังจะประเมินว่าตัวเขาจะควบคุมอำนาจในมืออย่างไร ที่ไม่เพียงแค่ให้ตัวเองเป็นคนที่ผู้คนรักใคร่ หากแต่จะต้องเป็นที่เคารพยำเกรง
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ฮุน เซน บรรลุเป้าหมายคือการหว่านนโยบายประชานิยมซื้อใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานในภาคอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่เคยมีการกระทบกระทั่งกันมาจากการชุมนุมเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรง
ซึ่งในการปราศรัยหาเสียงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ฮุน เซน ประกาศให้คำมั่นที่จะปรับขึ้นเงินเดือนในทุกๆ ปีให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่อไป
ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของกัมพูชา ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ปีละประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์นับจากปี 2554 เป็นต้นมา เป็นตัวสะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาอย่างแข็งแกร่ง
และการเขยิบขึ้นของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจากเดือนละ 60 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 เป็น 170 ดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ก็ยังเป็นผลงานที่รัฐบาลฮุน เซน นำมาเรียกเสียงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้
อุปสรรคปัญหาเดียวที่นักวิเคราะห์มองว่าจะเป็นสภาวะที่ยากลำบากสำหรับฮุน เซน คือการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ที่ไม่ต้องการเห็นฮุน เซน อยู่ครองอำนาจต่อ ว่าจะออกมาใช้สิทธิใช้เสียงกันมากน้อยเพียงใด
ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นเรื่องยากที่จะเห็นพลังของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะกล้าลุกออกมาแสดงเสียงที่ชัดเจนของตนเอง เหมือนดังที่เราได้เห็นเกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียมาแล้วก่อนหน้านี้ที่นำไปสู่การร่วงหล่นจากอำนาจอย่างแรงของนาจิบ ราซัก
นักวิเคราะห์มองว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตพื้นที่เมืองใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของฝ่ายค้าน อาจเลือกที่จะนิ่งเงียบเสียมากกว่า เพราะมีการใช้ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมือในการกำกับควบคุมฝ่ายที่เห็นต่างกับรัฐบาล การอยู่นิ่งๆ จึงอาจจะเป็นการดีกว่า เพราะตัวอย่างมีให้เห็นแล้วหลายกรณี
เรียกว่าเมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ เราย่อมได้เห็นฮุน เซน และพรรคซีพีพีเป็นรัฐบาลนอนมาอีกเช่นเคย เพียงแต่รอดูแค่ว่าจะได้เสียงเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่เท่านั้น!